คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2620/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จ. สามีจำเลยทั้งสองยืมเงินโจทก์ไป 2 ครั้งครั้งแรก 110,000 บาท ครั้งที่สอง 90,000 บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจ. ทำหนังสือสัญญากู้ 2 ราย และรับเงินกู้ไป 200,000 บาทจำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า จ. ไม่ได้รับเงินกู้รายแรก แต่ไม่ได้อุทธรณ์ว่าจ. ไม่ได้ทำสัญญากู้รายแรก ดังนี้ ประเด็นว่า จ. ได้ทำสัญญากู้รายแรกหรือไม่ จึงยุติเพียงศาลชั้นต้นว่า จ.ได้ทำสัญญากู้รายแรกจริงจำเลยที่ 2 จึงฎีกาในปัญหาข้อนี้ไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหานี้ให้ ก็เป็นการที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวโดยชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จ. จะได้ยืมเงินจากโจทก์ หรือไม่จำเลยที่ 2 ไม่ทราบไม่รับรอง ลายมือชื่อในสัญญากู้ไม่ใช่ของ จ.จ. ไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่สมบูรณ์ ดังนี้ที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้ว่า จ. ไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้นั้นเป็นการประกอบคำให้การที่ว่าลายมือชื่อในสัญญากู้ไม่ใช่ของ จ.คำให้การดังกล่าวจึงมีความหมายว่าเนื่องด้วยสัญญากู้ปลอมจ. จึงไม่ได้รับเงินที่ระบุไว้ในสัญญากู้ ดังนั้นเมื่อฟังว่า จ.ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริง ไม่ใช่สัญญากู้ปลอมแล้ว ข้อต่อสู้ว่าจ. ไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เป็นอันตกไป ต้องฟังว่า จ.ได้รับเงินตามสัญญากู้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 3 บัญญัติให้เจ้าหนี้ต้องฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเสียภายในกำหนด 1 ปี ย่อมเป็นการให้สิทธิเจ้าหนี้ฟ้องคดีให้ชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ถึงแก่กรรมโดยเจ้าหนี้ไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ชำระหนี้ก่อน ฉะนั้น แม้สัญญากู้ซึ่ง จ. กู้เงินโจทก์ไปจะมีข้อความว่าหากโจทก์ต้องการเงินคืนเมื่อใดจ. จะคืนให้ทันที แต่ต้องบอกล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 เดือนก็ตามเมื่อ จ. ถึงแก่กรรม โจทก์ย่อมฟ้องคดีได้ทันทีโดยไม่จำต้องทวงถามก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่านายจุนซึ่งเป็นสามีจำเลยทั้งสองยืมเงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง ครั้งแรก ๑๑๐,๐๐๐ บาท ครั้งที่สอง ๙๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน๒๐๐,๐๐๐ บาท สัญญาไม่ได้กำหนดดอกเบี้ยไว้ ขอคิดร้อยละเจ็ดครึ่งเป็นเวลา ๕ ปี นายจุนถึงแก่กรรมไปแล้ว โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองในฐานะภรรยา และทายาทนายจุน จำเลยทั้งสองไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจากกองมรดกของนายจุน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การในสารสำคัญว่า นายจุนจะได้ยืมเงินจากโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ ๒ ไม่ทราบ ไม่รับรอง ลายมือชื่อในสัญญากู้ไม่ใช่ของนายจุน นายจุนไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ สัญญากู้จึงไม่สมบูรณ์โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายจุนได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๒ ครั้งรับเงินกู้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท ยังไม่ได้ชำระเงินต้นคืน แต่ชำระดอกเบี้ยให้โจทก์ตลอดมาจนกระทั่งนายจุนถึงแก่กรรม โจทก์ทวงถามให้จำเลยที่ ๑ชำระหนี้แล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระ แต่โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าทวงถามเมื่อใดอันจะถือว่าผิดนัด จึงคิดดอกเบี้ยไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นและค่าฤชาธรรมเนียมโดยเอามาจากกองมรดกของนายจุนคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่านายจุนไม่ได้รับเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญากู้รายแรก ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้ทวงถามจำเลยที่ ๒ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายจุนทำสัญญากู้เงินรายแรก และรับเงินกู้ไปจริง เมื่อนายจุนถึงแก่กรรมหนี้ย่อมถึงกำหนดทันทีโดยไม่ต้องทวงถาม พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ปัญหาประการแรกที่ว่านายจุนไม่ได้ทำสัญญากู้รายแรกนั้นศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่านายจุนทำหนังสือสัญญากู้ ๒ ราย และรับเงินกู้ไป ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญากู้ จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ว่านายจุนไม่ได้รับเงินกู้รายแรก ไม่ได้อุทธรณ์ว่านายจุนไม่ได้ทำสัญญากู้รายแรก ดังนั้นประเด็นว่านายจุนได้ทำสัญญากู้รายแรกหรือไม่จึงฟังเป็นยุติเพียงศาลชั้นต้นว่า นายจุนได้ทำสัญญากู้รายแรกจริง จำเลยที่ ๒ จึงฎีกาปัญหาข้อนี้ไม่ได้ แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้ก็เป็นการที่ไม่ได้ยกขึ้นมาว่ากล่าวโดยชอบไม่ทำให้จำเลยที่ ๒ มีสิทธิที่จะฎีกาปัญหาข้อนี้ได้ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ปัญหาต่อไปที่ว่า นายจุนไม่ได้รับเงินกู้รายแรก ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีว่า นายจุนไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้นั้นเป็นการประกอบคำให้การที่ว่า ลายมือชื่อในสัญญากู้ไม่ใช่ของนายจุนคำให้การของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าวจึงมีความหมายว่า เนื่องด้วยสัญญากู้ปลอมนายจุนจึงไม่ได้รับเงินที่ระบุไว้ในสัญญากู้ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ให้การว่านายจุนได้ทำสัญญากู้จริง แต่นายจุนก็ไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้ดังนั้น เมื่อฟังว่านายจุนทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริงไม่ใช่เป็นสัญญากู้ปลอมแล้ว ข้อต่อสู้ว่านายจุนไม่ได้รับเงินไปตามสัญญากู้เป็นอันตกไป ต้องฟังว่านายจุนได้รับเงินไปตามสัญญากู้
ปัญหาประการสุดท้ายที่ว่า โจทก์ต้องทวงถามให้ชำระหนี้ก่อนมิฉะนั้นจำเลยยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด และสิทธิของโจทก์ยังไม่ถูกโต้แย้งโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามสัญญากู้ซึ่งนายจุนกู้เงินโจทก์ไปไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้แต่มีข้อความว่า หากโจทก์ต้องการเงินคืนเมื่อใด นายจุนจะคืนให้ทันที แต่โจทก์ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้ทราบไม่น้อยกว่า ๑ เดือน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ วรรค ๓บัญญัติให้เจ้าหนี้ต้องฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเสียภายในกำหนด ๑ ปีย่อมเป็นการให้สิทธิเจ้าหนี้ฟ้องคดีให้ชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ลูกหนี้ถึงแก่กรรมโดยเจ้าหนี้ไม่จำเป็นต้องทวงถามให้ชำระหนี้ก่อนฎีกาข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๐๐๐ บาทโดยเอาจากกองมรดกของนายจุนแทนโจทก์

Share