แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ธ. และ ย. ยื่นคำร้องต่อศาลขอรับชำระหนี้จำนองที่มีอยู่เหนือทรัพย์จำนองของผู้ร้องสอดจำนวน 13,950,000 บาทแต่เงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมีเพียง7,601,977 บาท การที่ ธ. และ ย. แถลงต่อศาลว่า เมื่อได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดในคดีนี้แล้ว ก็ไม่ติดใจที่จะเรียกหนี้สินจากผู้ร้องสอดอีกต่อไป ย่อมหมายถึง ตกลงรับชำระหนี้เพียงเงินจำนวนสุทธิทั้งหมดที่ได้จากการขายทอดตลาดดังกล่าวเท่านั้น ส่วนการที่ ธ. และ ย. จะมอบเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์เป็นเงิน1,101,977 บาท นั้นก็เป็นเงินของ ธ. และ ย. ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักไว้เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ตามที่ธ. และ ย. ได้ตกลงกับโจทก์นั่นเอง มิใช่เงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดหรือเหลือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่ ธ. และย. ซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยให้แก่โจทก์และกรมสรรพากรผู้ร้อง ซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 253(3) เมื่อ ธ. และ ย. ได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปหมดแล้ว ย่อมไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องจะเข้ามามีส่วนเฉลี่ยได้อีก
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้ผู้ร้องสอดทั้งสองร่วมกันชำระเงิน2,400,000 บาท แก่โจทก์ทั้งห้า ต่อมาผู้ร้องสอดทั้งสองผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ทั้งห้านำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 8066 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องสอดที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งห้า
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องสอดทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากันค้างชำระค่าภาษีอากรตลอดจนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มสำหรับปีภาษี2523 ถึง 2525 แก่ผู้ร้องรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 10,373,939.55 บาทนอกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ดังกล่าวแล้ว ผู้ร้องสอดทั้งสองไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ดังกล่าวได้อีก ผู้ร้องจึงขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ดังกล่าว
โจทก์ทั้งห้ายื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องสอดทั้งสองมิได้เป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องสอดที่ 2 ในส่วนหนี้ของผู้ร้องสอดที่ 1 ผู้ร้องยังมิได้แจ้งค่าภาษีอากรที่ผู้ร้องสอดที่ 1 ค้างชำระให้ผู้ร้องสอดที่ 2 ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรีผู้ร้องสอดที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิด ในส่วนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ผู้ร้องสอดที่ 1 ค้างชำระ มูลหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวได้มีการฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลางและศาลภาษีอากรกลางมีคำพิพากษาให้ลดยอดหนี้ลงมาเหลือประมาณ 3,000,000 บาท การที่ผู้ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์โดยใช้ยอดหนี้ตามที่เจ้าพนักงานประเมินไว้ จึงไม่ชอบผู้ร้องสอดทั้งสองยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ได้ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะขอเฉลี่ยทรัพย์ ขอให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องสอดที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องสอดที่ 2 ได้หย่ากับผู้ร้องสอดที่ 1 ตั้งแต่ปี 2529 ทรัพย์ที่ถูกเจ้าพนักงานบังคับคดียึดเป็นทรัพย์ของผู้ร้องสอดที่ 2 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะนำหนี้ของผู้ร้องสอดที่ 1 มาขอเฉลี่ยได้ ผู้ร้องสอดที่ 2 ได้ยื่นฟ้องผู้ร้องต่อศาลภาษีอากรกลางและศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้ลดยอดหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างลงเหลือ 3,954,944.23 บาท ผู้ร้องได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวต่อศาลฎีกาและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ยอดหนี้จึงยังไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่าเป็นจำนวนเท่าใดและหนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวค้างชำระมาตั้งแต่ปี 2523 และ 2524 จึงไม่เป็นหนี้บุริมสิทธิ ผู้ร้องสอดที่ 2 ยังมีทรัพย์สินอื่นที่ผู้ร้องสามารถเอาชำระหนี้ได้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องสอดที่ 2 และมีเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีแล้วจำนวน7,601,977 บาท นายธีระพร อุวรรณโณ และนางเยาวลักษณ์จันทนินทร ซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องสอดที่ 2 ดังกล่าว และได้ยื่นคำร้องขอให้นำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างชำระหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน13,950,000 บาท แก่บุคคลทั้งสองก่อนเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดทั้งสองคัดค้าน แต่บุคคลทั้งสองสามารถทำความตกลงกับโจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดทั้งสองได้ โดยโจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องสอดทั้งสองไม่คัดค้านคำร้องที่บุคคลทั้งสองขอรับชำระหนี้จำนองและบุคคลทั้งสองตกลงว่าเมื่อได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์เป็นเงินเกินกว่า 7,000,000 บาท แล้วก็ไม่ติดใจในหนี้ที่ผู้ร้องสอดทั้งสองค้างชำระอีก และบุคคลทั้งสองตกลงจะมอบเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้แก่โจทก์ทั้งห้าจำนวน 1,101,977 บาท ศาลชั้นต้นจึงอนุญาตให้นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ได้รับชำระหนี้จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2540 และมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของผู้ร้องว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ขอรับชำระหนี้จำนองไว้ นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ได้รับชำระหนี้จำนองไปจนหมดสิ้นแล้วไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องจะเข้ามามีส่วนเฉลี่ยอีก การพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาอีกต่อไปจึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 17 ธันวาคม 2540
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกมีว่า เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักไว้เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งห้าจำนวน 1,101,977 บาท ตามที่ปรากฏในบัญชีรับจ่ายเงินในคดีในสำนวนนั้น เป็นเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดหรือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยให้แก่โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่าหนี้จำนองทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยที่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ยื่นขอรับชำระหนี้ต่อศาลชั้นต้นมีจำนวนถึง 13,950,000 บาท แต่เงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองมีเพียง 7,601,977 บาท การที่บุคคลทั้งสองแถลงต่อศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม2540 ว่าเมื่อได้รับชำระนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินในคดีนี้ซึ่งเป็นเงินกว่า 7,000,000 บาท แล้ว ก็ไม่ติดใจที่จะว่ากล่าวเรียกหนี้สินประการอื่นใดจากผู้ร้องสอดทั้งสองอีกต่อไปนั้น ย่อมหมายถึงนายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ตกลงรับชำระหนี้เพียงเงินจำนวนสุทธิทั้งหมดที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวเท่านั้น ส่วนการที่บุคคลทั้งสองจะมอบเงินให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งห้าเป็นเงิน1,101,977 บาท นั้น ตามที่ปรากฏในบัญชีรับจ่ายเงินในคดีในสำนวนก็เป็นเงินของบุคคลทั้งสองที่เจ้าพนักงานบังคับคดีคิดหักไว้เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามที่บุคคลทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ทั้งห้าไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 27 มีนาคม 2540 นั่นเองเงินจำนวนดังกล่าวจึงหาใช่เงินที่เหลือจากการขายทอดตลาดหรือเหลือจากการชำระหนี้จำนองให้แก่นายธีระพรและนางเยาวลักษณ์ซึ่งจะต้องนำมาเฉลี่ยให้แก่โจทก์ทั้งห้าและผู้ร้องดังที่ผู้ร้องฎีกาไม่เมื่อฟังได้ว่านายธีระพรและนางเยาวลักษณ์เจ้าหนี้บุริมสิทธิจำนองได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไปหมดแล้ว ย่อมไม่เหลือทรัพย์ที่ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิสามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 253(3) จะเข้ามามีส่วนเฉลี่ยได้อีก การพิจารณาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องต่อไป จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาข้ออื่นของผู้ร้องไม่จำต้องวินิจฉัย”
พิพากษายืน