แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคาร แม้มิได้มีกำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและส่งมอบอาคารแต่เมื่อเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยมีหนี้ที่ต้องชำระตอบแทนแก่โจทก์เมื่อปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนานโดยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาและได้จัดทำแบบคำร้องขอยกเลิกสัญญาเพื่อให้ผู้ที่เข้าทำสัญญากรอกเพื่อเลิกสัญญาและขอเงินที่ชำระแล้วคืนจากจำเลย แสดงว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ทั้งคำร้องนั้นก็มีผลเป็นการทำคำเสนอไปยังโจทก์เพื่อให้โจทก์แสดงเจตนาว่าจะตกลงเลิกสัญญาหรือไม่ เมื่อโจทก์กรอกแบบคำร้อง แจ้งความประสงค์ขอเลิกสัญญาและขอเงินคืนจากจำเลยจึงมีผลเป็นคำสนองรับคำเสนอของจำเลย ทำให้สัญญาเลิกกันทันที จำเลยต้องคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2535 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินในโครงการบ้านเมืองทอง ถนนพัฒนาการ เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร แปลงหมายเลขที่ เค 927 เนื้อที่ 24 ตารางวาจากจำเลยเป็นเงิน 912,000 บาท และทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นเงิน 688,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินจองค่าทำสัญญา ค่าผ่อนที่ดินและค่าจ้างก่อสร้างรายเดือนแก่จำเลยแล้วเป็นเงิน 526,674 บาท จำเลยไม่สามารถก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จ โจทก์แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาแต่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าหากโจทก์ประสงค์จะเลิกสัญญา ให้กรอกข้อความในแบบพิมพ์คำร้องที่จำเลยจัดทำขึ้น เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและขอรับเงินคืน แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 526,674 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับเงินในแต่ละครั้ง จนถึงวันฟ้องคิดเป็นเงิน 188,925.51 บาทรวมเป็นเงิน 715,599.51 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 715,599.51บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 526,673 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยผิดสัญญาต่อโจทก์ จำเลยปรับปรุงที่ดินจัดทำสาธารณูปโภค ขออนุญาตจัดสรรและขอนุญาตปลูกสร้างอาคารซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร จำเลยก่อสร้างอาคารบนที่ดินที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายไว้ใกล้แล้วเสร็จสัญญาดังกล่าวไม่ได้กำหนดระยะเวลาก่อสร้างไว้จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญา การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์จะต้องกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเสียก่อน แต่โจทก์มิได้ให้เวลาแก่จำเลยพอสมควรสัญญาจึงยังไม่เลิกกัน ขณะนี้อาคารใกล้แล้วเสร็จโจทก์จะต้องชำระเงินที่เหลืออยู่ให้ครบถ้วนและรับโอนกรรมสิทธิ์จากจำเลยไป โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ12.5 ต่อปี เพราะสัญญาไม่ได้กำหนดไว้ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 526,674 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินโครงการบ้านเมืองทอง แปลงหมายเลขที่ เค 927 จากจำเลยและทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคารบนที่ดินแปลงดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ตามลำดับ โจทก์ผ่อนชำระเงินตามสัญญาแก่จำเลยไปแล้วรวม 22 งวดเมื่อรวมกับเงินอื่น ๆ แล้วจำเลยได้รับเงินจากโจทก์ไปแล้วทั้งสิ้นเป็นเงิน 526,674 บาท มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเลิกกันหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างอาคาร เอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ตั้งแต่ปี 2535 หลังจากนั้นเป็นเวลา 4 ปีเศษ จำเลยยังก่อสร้างอาคารที่โจทก์จ้างเหมาไม่แล้วเสร็จ ปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13สำหรับที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายนั้น แม้จำเลยจะดำเนินการรังวัดแบ่งแยกโฉนดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนน ไฟฟ้า และน้ำประปายังสร้างไม่เสร็จเรียบร้อยประกอบกับได้ความจากค่าเบิกความคำถามค้านของนายนัทธ์ชนัน โกสิยกุลพยานจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกจัดสรรที่ดินของบริษัทจำเลยว่าจำเลยประสบปัญหาเรื่องการเงินและภาวะเศรษฐกิจไม่ดี จึงไม่อาจยืนยันว่าจะสามารถก่อสร้างบ้านให้โจทก์แล้วเสร็จได้หรือไม่ และนายนัทธ์ชนันยังยอมรับอีกว่าภาพถ่ายตามเอกสารหมาย จ.12 และ จ.13 เป็นสภาพบ้านและที่ดินที่โจทก์ทำสัญญาจะซื้อขายและทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยปลูกสร้างในโครงการที่ก่อสร้าง ซึ่งตามภาพถ่ายดังกล่าวไม่มีคนงานหรือวัสดุก่อสร้างใด ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทิ้งร้างมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วดังนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยหยุดดำเนินการก่อสร้างในส่วนนี้แล้ว แม้สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยมิได้กำหนดเวลาโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและส่งมอบอาคารที่ก่อสร้างก็ตาม แต่สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาต่างตอบแทน จำเลยจึงมีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนแก่โจทก์คือโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและส่งมอบอาคารที่ก่อสร้างให้ เมื่อจำเลยปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปเนิ่นนานโดยมิได้ปฏิบัติตามสัญญาเช่นนี้ จึงถือได้ว่าเป็นการผิดสัญญา นอกจากนี้การที่จำเลยจัดทำแบบคำร้องขอยกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.9 เพื่อให้ผู้ที่เข้าทำสัญญากรอกเพื่อเลิกสัญญาและขอเงินที่ชำระแล้วคืนจากจำเลยนั้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยยอมรับสภาพตามความเป็นจริงว่าจำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน และสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างต่อไปได้ทั้งคำร้องขอเลิกสัญญาที่จำเลยจัดทำขึ้นนั้นก็มีผลเป็นการทำคำเสนอไปยังโจทก์เพื่อให้โจทก์แสดงเจตนาว่าจะตกลงเลิกสัญญาหรือไม่ดังนั้น เมื่อโจทก์กรอกแบบคำร้องแจ้งความประสงค์ขอเลิกสัญญาและขอเงินคืนจากจำเลย จึงมีผลเป็นคำสนองรับคำเสนอของจำเลย ทำให้สัญญาเป็นอันเลิกกันทันที จำเลยต้องคืนเงินที่โจทก์ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน