คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีจำเลย รู้เห็นการกู้ยืมระหว่างโจทก์จำเลยและได้ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยขายบ้านพิพาทให้โจทก์เกี่ยวกับการที่จำเลยกู้ยืมจากโจทก์ ดังนี้ ถือเท่ากับว่าผู้ร้องอนุญาตให้จำเลยทำนิติกรรมกู้เงินโจทก์โดยปริยายแล้ว นิติกรรมการกู้ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์จึงผูกพันสินบริคณห์ระหว่างจำเลยและผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิบอกล้าง การที่จำเลยร่วมมือกับผู้ร้องแกล้งจำหน่ายบ้านพิพาทให้ตกเป็นของผู้ร้องในการหย่ากันมิให้เป็นสินบริคณห์ต่อไป โดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 327 โจทก์มีสิทธินำยึดบ้านพิพาทมาดำเนินการบังคับคดีเอาชำระหนี้โจทก์ได้

ย่อยาว

ผู้ร้องร้องว่า โจทก์นำยึดบ้านเลขที่ ๖/๓ ผู้ร้องเคยเป็นสามีจำเลยต่อมาได้ตกลงหย่าขาดกัน จดทะเบียนหย่าที่อำเภอตกลงให้บ้านพิพาทเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องไม่เคยยินยอมให้จำเลยกู้เงินโจทก์ ขอให้สั่งเพิกถอนการยึด ฯลฯ
โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับจำเลยหย่ากันเป็นพิธี สมคบกันโกงเจ้าหนี้ ฯลฯ
ศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ปล่อยการยึด
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ในระหว่างที่จำเลยอยู่กินกับผู้ร้อง และฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นการที่จำเลยกู้เงินโจทก์ไป และผู้ร้องได้ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยขายบ้านพิพาทให้โจทก์เกี่ยวกับการกู้ยืมนี้ ถือได้เท่ากับเป็นการอนุญาตให้จำเลยทำนิติกรรมกู้เงินโจทก์โดยปริยายแล้ว นิติกรรมการกู้ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์จึงผูกพันสินบริคณห์ระหว่างจำเลยและผู้ร้อง ผู้ร้องไม่มีสิทธิบอกล้าง การที่จำเลยร่วมมือกับผู้ร้องแกล้งจำหน่ายบ้านพิพาทให้ตกเป็นของผู้ร้องในการหย่ากัน มิให้เป็นสินบริคณห์ต่อไปโดยรู้อยู่ว่าทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๓๗ โจทก์มีสิทธินำยึดบ้านพิพาทมาดำเนินการบังคับคดีเอาชำระหนี้โจทก์ได้ ผู้ร้องจะร้องขอให้ปล่อยการยึดไม่ได้
พิพากษากลับ เป็นให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share