แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่บัญญัติให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงนั้น มีเจตนารมณ์ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเองเป็นผู้รับรองให้ฎีกา เพราะเป็นผู้ทราบดีว่ามีเหตุสมควรที่จะรับรองให้ฎีกาหรือไม่ แต่ ส. เป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่เพียงแต่มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยเท่านั้น อันเป็นคำสั่งภายในจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จแล้ว และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งการมีคำสั่งดังกล่าว ส.ไม่ได้เข้าไปนั่งพิจารณาคดีนั้นเลย ส.จึงไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ การที่ ส.รับรองให้ฎีกาจึงไม่ชอบ ถือว่าคดีนี้ยังคงห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้พิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยที่ ๑ มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ขุดหลักหมุนออกจากที่ดินพิพาท หากไม่ดำเนินการให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการโดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายปีละ ๓,๐๐๐ บาท นับแต่ปี ๒๕๓๖ ไปจนกว่าจะดำเนินการดังกล่าวเสร็จและส่งมอบที่ดินคืนโจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่สาธารณประโยชน์หนองโดนน้อย ซึ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์ประเภทประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน และมีการดำเนินการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงเมื่อปี ๒๕๓๕ แม้ที่ดินโจทก์จะมีหลักฐานเป็น น.ส.๓ ออกโดยอาศัย ส.ค.๑ เลยที่ ๒๗๐ แต่ น.ส.๓ ดังกล่าวมีเนื้อที่มากกว่าที่ระบุใน ส.ค.๑และออกครอบคลุมที่ดินพิพาทเป็นการออกโดยไม่ชอบ อย่างไรก็ตามที่ดินพิพาทมีสภาพเป็นหนองน้ำใช้ทำนาไม่ได้ ประกอบกับโจทก์ไม่มีอาชีพทำนา จึงไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามดำเนินการรื้อถอนหลักหมุดและป้ายแสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ออกไปจากที่ดินพิพาท และห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวอีก คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความทั้งสองศาลเป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีา โดยนางสาวสุนทรี อัจฉริยพฤกษ์ ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้นางสาวสุนทรี อัจฉริยพฤกษ์ ผู้พิพากษาในศาลชั้นต้นรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งนางสาวสุนทรีได้ลงชื่อรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๘ วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้นั้นมีเจตนารมณ์ให้อำนาจแก่ผู้พิพากษาได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเองเป็นผู้รับรองให้ฎีกา เพราะเป็นผู้ทราบดีว่ามีเหตุสมควรที่จะรับรองให้ฎีกาหรือไม่ แต่ปรากฏว่านางสาวสุนทรีเป็นผู้พิพากษาที่เพียงแต่มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามคำร้องขอของจำเลยทั้งสามเท่านั้น อันเป็นคำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีเสร็จแล้ว และก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ซึ่งมีคำสั่งดังกล่าวนางสาวสุนทรีไม่ได้นั่งพิจารณาคดีนั้นเลย นางสาวสุนทรีจึงไม่มีอำนาจรับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ การที่นางสาวสุนทรีรับรองให้ฎีกาจึงไม่ชอบ ถือว่าคดีนี้ยังคงต้องห้ามในข้อเท็จจริง ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช้เป็นที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ซึ่งวินิจฉัยว่า ที่ดินพาทเป็นที่หนองน้ำสาธารณประโยชน์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นต้นทั้งหมดแก่โจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ