คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1418/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เงินค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มและค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายจากการเรียกเก็บเงินตามสัญญาใช้บัตรเครดิตที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ล้วนแต่เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยไม่ชำระหนี้เงินดังกล่าวตรงตามเวลาที่กำหนดไว้มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 379 ซึ่งหากกำหนดไว้สูงเกินส่วนศาลย่อมลดลงได้ตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ผิดสัญญาการใช้บัตรเครดิต ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน 374,886 บาท กับค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน และค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายในการเรียกเก็บเงินอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนของต้นเงิน 235,044 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสี่ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายพินิจ ทองเลิศ พนักงานเร่งรัดหนี้สินของโจทก์เบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบสำเนาใบเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.9 ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่นำบัตรเครดิตของโจทก์ไปใช้จ่ายชำระค่าสินค้าและค่าบริการทั้งในประเทศและต่างประเทศรวม 65 ครั้งซึ่งในการใช้บัตรเครดิตของโจทก์ 2 ครั้ง ในจำนวน 65 ครั้ง ดังกล่าวนั้นมีการซื้อสินค้าแบบเรียกเก็บเงินค่าสินค้าและค่าบริการในระบบผ่อนชำระอยู่ 2 รายการ เป็นเงินงวดละ 2,768 บาท และ 45,136.84 บาท รวม 6 งวด เป็นเงิน 16,608 บาท และ 270,821.04 บาท ซึ่งโจทก์ได้ชำระไปแล้ว และเมื่อโจทก์ยกเลิกบัตรเครดิตและบัตรเสริมของจำเลยทั้งสี่ในวันที่ 7 มกราคม 2540 มีหนี้ค่าซื้อสินค้าและบริการที่ผ่อนชำระเป็นเงินอีก 8,056.69 บาท และ215,599.72 บาท ซึ่งโจทก์ยังมิได้ชำระแต่มีหน้าที่ต้องชำระตามใบเรียกเก็บเงินเอกสารหมาย จ.9 แผ่นที่ 20 รวมหนี้ค่าซื้อสินค้าและบริการที่ผ่อนชำระสองรายการเป็นเงิน 24,664.69 บาท และ 486,420.76 บาท รวมเป็นเงิน 511,085.45 บาท และจำเลยทั้งสี่ยังมีหนี้ค่าสินค้าและค่าบริการที่ใช้บัตรเครดิตและบัตรเสริมของโจทก์ไปจำนวน 63 ครั้ง เป็นเงิน 830,473.25 บาท จึงรวมเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้นจำนวน 1,341,558.70 บาท ซึ่งโจทก์ขอคิดเพียง 1,338,441 บาท แต่จำเลยทั้งสี่ได้ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวให้โจทก์แล้วเป็นเงิน 1,103,397 บาท คงค้างชำระเป็นเงิน 235,044 บาท จำเลยทั้งสี่จึงมีหน้าที่ต้องชำระต้นเงินที่ค้างชำระ235,044 บาท ให้แก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเงินค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนและค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายจากการเรียกเก็บเงินอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนโดยขอคิดตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2540 อันเป็นวันที่จำเลยทั้งสี่ผิดนัดชำระเงินที่โจทก์เรียกเก็บทั้งหมดนั้น เห็นว่าเงินค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มก็ดี และค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายจากการเรียกเก็บเงินก็ดี ล้วนแต่เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าในกรณีที่จำเลยทั้งสี่ไม่ชำระหนี้เงินดังกล่าวตรงตามเวลาที่กำหนดไว้มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งศาลฎีกาพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นว่า เบี้ยปรับดังกล่าวนั้นกำหนดไว้สูงเกินส่วน จึงเห็นควรให้ลดเบี้ยปรับลงตามมาตรา 383 วรรคหนึ่ง โดยให้จำเลยทั้งสี่รับผิดชำระเป็นดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 มกราคม 2540 เป็นต้นไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้เงินจำนวน 235,044 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 7 มกราคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

Share