คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2609/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนซึ่งมีข้อความแสดงว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และผู้เสียหายเบิกความรับว่าได้อ่านและลงลายมือชื่อไว้นั้น เป็นพยานบอกเล่ารับฟังได้แต่เพียงเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานในชั้นศาล เมื่อผู้เสียหายเบิกความต่อศาลว่าตนได้บอก ว. กับตำรวจหลังเกิดเหตุเพียงว่าสงสัยว่าจำเลยยิง โดยมี ว. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายวิ่งมาแจ้งเหตุหลังเสียงปืนดังเล็กน้อยโดยไม่ระบุว่าถูกใครยิง โจทก์จึงขาดประจักษ์พยานเมื่อโจทก์ไม่มีพยานแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งมัด ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ลำพังแต่คำให้การผู้เสียหายในชั้นสอบสวน ยังไม่มั่นคงเพียงพอจะฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘,๘๐, ๓๓, ๓๒ และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๘๘, ๘๐ จำคุก ๑๐ ปี ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากผู้เสียหายว่าก่อนเกิดเหตุเครื่องเล่นวีดีโอเทปของนายสุชาติหายไป ผู้เสียหายทราบว่าจำเลยซึ่งเป็นญาติกันเป็นคนลักเอาไป จึงเล่าให้นายสุชาติฟัง จำเลยจึงโกรธเคืองผู้เสียหาย ในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๓๐ ผู้เสียหายไปร่วมงานเลี้ยงส่งข้าราชการครูที่โรงเรียนบ้านหนองรีจนเวลา ๒๒ นาฬิกา แล้วไปดูภาพยนตร์ที่หน้าโรงเรียนจนเวลาประมาณ๒๓ นาฬิกา ก็เดินกลับบ้านไปได้ประมาณ ๑๕ เมตร มีเสียงปืนดัง ๑ นัดใกล้ตัว ผู้เสียหายล้มลงหมดสติ สักครู่จึงรู้สึกตัวแล้ววิ่งไปบอกนายแหวนบิดากับตำรวจบริเวณงานว่าสงสัยว่านายเปี๊ยกจำเลยยิงแล้วไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล โจทก์มีนายแหวน เทศหนู บิดาผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ขณะเกิดเหตุนายแหวนเก็บของอยู่ในงาน ผู้เสียหายวิ่งมาบอกว่าถูกยิงมาโดยไม่ได้บอกว่าใครยิง ขณะพาผู้เสียหายไปโรงพยาบาล ผู้เสียหายพูดไม่ได้เพราะถูกยิงจากกกหูด้านหลัง กระสุนทะลุบริเวณปาก คดีได้ความจากร้อยตำรวจเอกยุทธนา เหมือนชู พนักงานสอบสวนต่อไปว่า ในวันที่๖ พฤษภาคม ๒๕๓๐ เวลา ๑๒ นาฬิกาเศษ นายแหวนได้มาแจ้งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิง ในวันเดียวกัน ร้อยตำรวจเอกถนอม คงยั่งยืนได้นำตัวจำเลยมามอบตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.๓ ร้อยตำรวจเอกยุทธนาได้สอบปากคำผู้เสียหายตามบันทึกคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๑ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ เห็นว่าแม้เอกสารหมาย จ.๑ จะมีข้อความแสดงว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายเห็นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย และผู้เสียหายรับว่าได้อ่านและลงลายมือชื่อก็จริง แต่เอกสารบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นพยานบอกเล่า รับฟังได้แต่เพียงเป็นพยานประกอบคำเบิกความของพยานในชั้นศาล เมื่อผู้เสียหายเบิกความต่อศาลว่าตนได้บอกนายแหวนกับตำรวจหลังเกิดเหตุเพียงว่าสงสัยว่านายเปี๊ยกจำเลยยิง โดยมีนายแหวนพยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ผู้เสียหายวิ่งมาแจ้งเหตุหลังเสียงปืนดังเล็กน้อยโดยไม่ระบุว่าถูกใครยิงโจทก์จึงขาดประจักษ์พยาน เมื่อโจทก์ไม่มีพยานแวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่งมัดตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ลำพังแต่คำให้การผู้เสียหายในชั้นสอบสวน ยังไม่มั่นคงเพียงพอที่จะฟังลงโทษจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share