แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาแม้จะเป็นพยานที่ศาลรับฟัง ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเชื่อเสมอไป คำพยานชนิดนี้จะมีน้ำหนักกว่าประจักษ์พยานหรือไม่ต้องพิจารณา ตามรูปเรื่อง เหตุผล และพยานหลักฐานอื่นประกอบกัน
แม้โจทก์จะไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ก็ได้ขอชำระค่าอ้างเอกสารนั้นแล้วเมื่อจำเลยอุทธรณ์ อ้างว่าโจทก์เข้าใจผิดคิดว่าเสียค่าอ้างแล้ว มิได้จงใจที่จะไม่ชำระ ดังนี้ เมื่อศาลได้ยอมรับชำระเงินค่าอ้างเอกสารนั้นแล้ว จึงรับฟังเป็นพยานได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ไม่ชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยให้โจทก์ โจทก์บอกกล่าวจำเลยทั้งสองแล้วแต่ก็ไม่ชำระขอศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองให้การว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาปลอมลายเซ็นชื่อในสัญญาไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานแสดงความคิดเห็นตามหลักวิชาแม้จะเป็นพยานที่ศาลรับฟัง ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องเชื่อเสมอไป คำพยานชนิดนี้จะมีน้ำหนักกว่าประจักษ์พยานหรือไม่ ก็ต้องพิจารณาตามรูปเรื่อง เหตุผล และพยานหลักฐานอื่นประกอบกัน เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีพยานหลักฐานมั่นคงเชื่อว่า ลายเซ็นชื่อในช่องผู้กู้ของสัญญากู้เป็นลายเซ็นของจำเลยที่ 1 แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องส่งลายมือชื่อของจำเลยในสัญญากู้ตามฟ้องไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์อีก
โจทก์ไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสารตามคำสั่งของศาลชั้นต้น แต่โจทก์ก็ได้ขอชำระค่าอ้างเอกสารดังกล่าวนั้นแล้วในเมื่อจำเลยทั้งสองอุทธรณ์อ้างเหตุว่าโจทก์เข้าใจผิดคิดว่าได้เสียค่าอ้างเอกสารแล้วโดยโจทก์มิได้จงใจที่จะไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อศาลได้ยอมรับชำระค่าอ้างเอกสารนั้นจึงเป็นการชอบแล้ว และรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานได้ตามกฎหมาย
พิพากษายืน