คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2583/2524

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยใช้ใบสุทธิปลอมแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร โดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธิ จำเลยกระทำการทั้งหลายต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาประการเดียวที่จะให้ทางราชการหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วน และให้ทางราชการรับสมัครจำเลยเป็นผู้มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรเท่านั้น จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท และเห็นได้ว่าจำเลยเป็นผู้ที่ไม่เคารพหรือหวั่นเกรงต่อกฎเกณฑ์กติกาใดๆ ของบ้านเมืองเลย เป็นพฤติการณ์ที่ไม่สมควรจะรอการลงโทษ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264, 265, 268 และ 137 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฯ ซึ่งเป็นดุลพินิจอันเด็ดขาดของผู้พิพากษาผู้รับรอง ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่า ข้อความที่ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจอนุญาตให้ฎีกานั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดหรือไม่

ปัญหาเรื่องสมควรรอการลงโทษจำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงและเหตุผลที่โจทก์จำเลยยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาและคำแก้ฎีกาแล้วเห็นว่า ความผิดที่จำเลยกระทำลงไปมิใช่ความผิดที่จะกระทำได้ด้วยการเกิดอารมณ์ชั่ววูบ แต่จะต้องมีการตระเตรียมวางแผนกันมาก่อน และจำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่า หากกระทำลงไปแล้วจะก่อให้เกิดผลเสียหายมากมายหลายประการ ทั้งในส่วนตัวบุคคลและส่วนรวมเริ่มต้นตั้งแต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรคนใดคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ควรจะได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร แทนที่จะเป็นจำเลยได้รับเลือกตั้ง เมื่อจำเลยได้รับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรแล้วทางราชการต้องจ่ายเงินเดือนรวมทั้งสิทธิพิเศษอื่น ๆ ซึ่งอาจคิดเป็นตัวเงินได้จนกว่าคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นทางราชการจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ซึ่งต้องใช้เงินอีกเป็นจำนวนมากรวมทั้งเงินที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องใช้จ่ายในการหาคะแนนเสียงด้วย นอกจากนี้การกระทำของจำเลยยังก่อให้เกิดความเสียหายอย่างอื่น ซึ่งไม่อาจคิดคำนวณเป็นตัวเงินได้ เช่นความเสื่อมเสียของสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปี ของกลางริบ และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนดสิบปีด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาขอให้เรียงกระทงลงโทษ จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “การที่จำเลยใช้เอกสารราชการปลอม แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและเข้าสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่มีสิทธินั้น จำเลยกระทำการทั้งหมดต่อเนื่องกันโดยมีเจตนาประการเดียวที่จะให้ทางราชการหลงเชื่อว่า จำเลยเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนในการที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร และให้ทางราชการรับสมัครจำเลยเป็นผู้มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมาเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด คือพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 84 ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างมาทั้งหมดข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ จะนำมาใช้เป็นบรรทัดฐานในคดีนี้ไม่ได้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ต่อไปศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยฎีกาจำเลย โจทก์ตั้งประเด็นในคำแก้ฎีกาว่า ข้อความที่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ซึ่งลงนามในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกา หาใช่ปัญหาสำคัญอันควรสู่สูงสุดไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ปัญหาดังกล่าวสถาบันที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ แต่จำเลยซึ่งรู้อยู่แก่ใจตนเองเป็นอย่างดีแล้วว่า ตนไม่มีคุณสมบัติที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรได้เลย ก็ยังกล้าที่จะสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎรโดยการกระทำความผิดดังกล่าว เห็นได้ว่า จำเลยเป็นผู้ที่ไม่เคารพหรือหวั่นเกรงต่อกฎเกณฑ์กติกาใด ๆ ของบ้านเมืองเลย เป็นพฤติการณ์ที่ไม่สมควรจะรอการลงโทษ”

พิพากษายืน

Share