คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1649/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยให้การรับว่าโอนทรัพย์พิพาทยกให้โจทก์ แต่มิได้ต่อสู้ว่าการแสดงเจตนาของจำเลยมิใช่เจตนาอันแท้จริงนิติกรรมย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์พิพาทคืนจากโจทก์ คดีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์เพื่อตีใช้หนี้หรือให้โดยเสน่หา เพราะถึงแม้จะวินิจฉัยเป็นประการใด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทก็ไม่มีทางกลับคืนมาเป็นของจำเลยได้
ตามหนังสือสัญญาให้ที่ดินพิพาทไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องโอนทรัพย์พิพาทบางส่วนให้แก่บุตรจำเลยเมื่อเติบโตพอสมควร และโจทก์จะต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรจำเลยด้วยดังที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใด ในกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเช่นนี้ จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามมิให้ศาลรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คดีนี้พิพาทกันระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยเฉพาะ เมื่อทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ หากบุตรของจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นคดีต่างหาก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและบ้าน ต่อมาจำเลยได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านส่วนของจำเลยให้โจทก์เป็นการใช้หนี้เงินกู้แต่จดทะเบียนโอนในประเภทยกให้ แล้วจำเลยขออาศัยอยู่ในบ้านซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าว บัดนี้โจทก์ต้องการใช้บ้านดังกล่าว จำเลยกลับเพิกเฉยไม่ยอมออกไป ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องโอนทรัพย์พิพาทบางส่วนให้แก่บุตรจำเลย และต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรของจำเลยด้วย อันเป็นการโอนให้โดยมีค่าภารติดพัน โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงและกล่าวหมิ่นประมาทจำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงขอถอนคืนการให้ ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์จดทะเบียนโอนทรัพย์ดังกล่าวคืนจำเลย

จำเลยให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยและไม่เคยใส่ความจำเลย

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่า โจทก์ประพฤติผิดเงื่อนไขการให้ถึงขนาดจำเลยมีสิทธิเพิกถอนการให้ได้หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้หมิ่นประมาทจำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยไม่มีสิทธิในทรัพย์พิพาท พิพากษายกฟ้องแย้งจำเลยจำเลยไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติ คงมีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาเพียงข้อเดียวว่า การโอนทรัพย์ตามฟ้องเป็นการโอนเพื่อตีใช้หนี้หรือให้โดยเสน่หาอันมีค่าภารติดพัน ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมิได้ต่อสู้ว่าการแสดงเจตนาของจำเลยมิใช่เจตนาอันแท้จริง นิติกรรมย่อมสมบูรณ์ใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์คืนจากโจทก์ตามฟ้องแย้งคดีจึงไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์เพื่อตีใช้หนี้หรือให้โดยเสน่หา เพราะถึงแม้จะวินิจฉัยเป็นประการใด กรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทก็ไม่มีทางกลับคืนมาเป็นของจำเลยได้ในคดีนี้

ที่จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้โจทก์โดยมีข้อตกลงว่าโจทก์จะต้องโอนทรัพย์พิพาทบางส่วนให้แก่บุตรของจำเลยและต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรของจำเลยด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า ทรัพย์พิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ การให้โดยเสน่หาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 ตามหนังสือสัญญาให้ดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีข้อตกลงดังที่จำเลยกล่าวอ้างแต่อย่างใดในกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเช่นนี้ จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติม ตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นหาได้ไม่เพราะต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เมื่อจำเลยไม่มีพยานเอกสารมานำสืบประกอบข้ออ้าง ข้อเท็จจริงย่อมฟังไม่ได้ว่าที่จำเลยโอนทรัพย์พิพาทให้แก่โจทก์นั้นเป็นการโอนให้โดยมีค่าภารติดพัน คดีนี้พิพาทกันระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาโดยเฉพาะ เมื่อทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ หากบุตรของจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมีสิทธิเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องว่ากล่าวเป็นคดีต่างหาก

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านพิพาท

Share