แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 นำรถของโจทก์ไปขายให้แก่จำเลยที่ 3โดยไม่มีอำนาจจำเลยที่ 3 ได้รับซื้อไว้โดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต ทั้งได้มีการโอนทางทะเบียนโดยชอบแล้วโดยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 3 ย่อมไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
แม้โจทก์จะมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนก็ต้องเอาคืนจากผู้ครอบครองเท่านั้น เมื่อจำเลยที่ 3 ได้ขายรถยนต์และรถยนต์ตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ 3 ก็ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 506/2522)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์โดยตกลงจะชำระค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อเพียง ๒ งวดแล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีกเลย โจทก์บอกเลิกสัญญาแต่จำเลยที่ ๑ ไม่คืนรถแก่โจทก์ ทั้งยังสมคบกับจำเลยที่ ๒ ปลอมลายมือชื่อพนักงานของโจทก์แล้วจดทะเบียนโอนใส่ชื่อเป็นของจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๒ โอนขายรถยนต์ดังกล่าวให้จำเลยที่ ๓ โดยเจ้าพนักงานกองทะเบียนของจำเลยที่ ๔ ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันรับผิดคืนรถคันดังกล่าวแก่โจทก์ หรือชดใช้ราคาพร้อมทั้งให้ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ได้กรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทโดยจดทะเบียนรับโอนจากจำเลยที่ ๒ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนและได้โอนขายต่อให้แก่ผู้อื่นไปแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า พนักงานสอบสวนเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๔ ได้กระทำการไปตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และโดยสุจริต จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ร่วมกันคืนรถยนต์พิพาทและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๔
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๓ ว่าครอบครองรถพิพาทโดยไม่มีสิทธิใด ๆ จะอ้างได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การที่จำเลยที่ ๓ไม่ยอมคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์จึงเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ เห็นว่าจำเลยที่ ๓ ได้ซื้อรถยนต์พิพาทในราคา ๓๘,๐๐๐ บาทจากจำเลยที่ ๒ และได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนต่อกองทะเบียน กรมตำรวจ โดยชอบตามเอกสารหมาย ล.๑ และโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ กระทำการโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด จึงเป็นการได้รถยนต์พิพาทมาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต จำเลยที่ ๓ มิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำโดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหายแต่ประการใด จะเรียกว่าจำเลยที่ ๓ กระทำละเมิดต่อโจทก์ไม่ได้ แม้โจทก์จะมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน ก็ต้องเอาคืนจากผู้ครอบครองเท่านั้น แต่จำเลยที่ ๓ ขายรถยนต์พิพาทให้แก่นางสาวคมขำไปในราคา ๔๐,๐๐๐ บาท รถยนต์พิพาทตกไปอยู่ในความครอบครองของผู้อื่นแล้ว จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๖/๒๕๒๒
พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๓ ด้วย