แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามข้อ 3 แห่งสัญญาเช่าซื้อ ระบุให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่านำค่าเช่าไปชำระแก่โจทก์ผู้ให้เช่า ณ สถานที่ประกอบธุรกิจของโจทก์ภายในวันที่ 10 ของทุก ๆ เดือน ทั้งยังระบุต่อไปว่า ผู้เช่าสัญญาว่าไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้เช่าจะอ้างเหตุที่เจ้าของมิได้ส่งคนไปเก็บค่าเช่าขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นความรับผิดไม่ชำระค่าเช่าหรือชำระค่าเช่าให้ช้ากว่ากำหนดไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำค่าเช่าซื้อไปชำระให้โจทก์ แม้ในทางปฏิบัติโจทก์จะส่งพนักงานมาเก็บค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 แล้วต่อมาโจทก์จะไม่ส่งพนักงานมาเก็บค่าเช่าซื้อก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องนำค่าเช่าซื้อไปชำระแก่โจทก์ตามสัญญาจำเลยจะนำเหตุที่โจทก์ไม่ส่งพนักงานไปเก็บค่าเช่าซื้อมาเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดว่า จำเลยที่ 1 มิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ได้เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อสองคราวติด ๆ กันโจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและมีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เช่าซื้อจักรเย็บผ้าซิงเกอร์ของโจทก์ 10 คัน รวมค่าเช่าซื้อ 29,100 บาท จำเลยมีหน้าที่ชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 130 บาทต่อจักรเย็บผ้า 1 คัน จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเพราะไม่ชำระค่าเช่าสองคราวติดกัน โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยที่ 1 และให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาจักร 10 คันให้โจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนจักรเย็บผ้า 10 คัน ถ้าไม่สามารถคืนได้ ก็ให้จำเลยร่วมกันใช้ราคาเป็นเงิน 29,000 บาท
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรียนศรีจันทราซึ่งสอนตัดเสื้อโจทก์ประสงค์จะให้นักเรียนของจำเลยซื้อจักรเย็บผ้าของโจทก์ จึงนำจักรเย็บผ้า10 คันไปให้นักเรียนของจำเลยทดลองใช้ และโจทก์ขอให้จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็นนิติกรรมอำพราง ความจริงนักเรียนของจำเลยตกลงซื้อขายจักรเย็บผ้าดังกล่าวกับตัวแทนของโจทก์โดยจำเลยมิได้เกี่ยวข้อง และโจทก์ส่งตัวแทนไปเก็บเงินค่าเช่าซื้อจากนักเรียนของจำเลย มิใช่ผู้เช่าซื้อนำไปชำระให้โจทก์ แต่ตัวแทนของโจทก์ไม่ไปเก็บตามปกติ อันเป็นความผิดของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฯลฯ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นนิติกรรมอำพรางตามคำให้การของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนจักรเย็บผ้า 10 คันแก่โจทก์ หากไม่สามารถส่งคืนก็ให้ใช้ราคา 29,100 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่มีสิทธิฎีกา ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ด้วย นั้น ไม่ชอบ ให้ยกฎีกาของจำเลยที่ 2 เสีย คงมีประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อสองคราวติด ๆ กัน หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อ 3 แห่งสัญญาเช่าซื้อระบุให้ผู้เช่า (จำเลยที่ 1) นำค่าเช่าไปชำระแก่เจ้าของ (โจทก์) ณ สถานที่ประกอบธุรกิจของเจ้าของภายในวันที่ 10 ของทุก ๆ เดือน ทั้งยังระบุต่อไปว่า ผู้เช่าสัญญาว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้เช่าจะอ้างเหตุที่เจ้าของมิได้ส่งคนไปเก็บค่าเช่าขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นความรับผิดไม่ชำระค่าเช่าหรือชำระค่าเช่าให้ช้ากว่ากำหนดไม่ได้เป็นอันขาด ซึ่งหมายความว่า จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องนำค่าเช่าซื้อไปชำระให้บริษัทโจทก์ แม้จะฟังว่าในทางปฏิบัติบริษัทโจทก์จะส่งพนักงานมาเก็บค่าเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 แล้วต่อมาบริษัทโจทก์จะไม่ส่งพนักงานมาเก็บค่าเช่าซื้อ ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะต้องนำค่าเช่าซื้อไปชำระให้บริษัทโจทก์ตามสัญญา จำเลยจะนำเหตุที่บริษัทโจทก์ไม่ส่งพนักงานไปเก็บค่าเช่าซื้อมาเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดว่าจำเลยที่ 1 มิได้ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อไม่ได้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อสองคราวติด ๆ กัน โจทก์จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ และมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน