คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6796/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดาจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คดีไม่มีทุนทรัพย์และต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 แต่จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจที่จะสั่งว่า จำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 246 แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับสั่งว่าคดีของจำเลยมีทุนทรัพย์ ให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์แล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 243 ประกอบมาตรา 247ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยและให้ยกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี กับให้ยกฎีกาของจำเลย

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 75 พร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 11114 และ 11571 และให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์เสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองจึงไม่รับอุทธรณ์คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นกรณีอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 จึงมีคำสั่งให้ผู้อุทธรณ์นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด

จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งใจความว่า คดีโจทก์เป็นคดีมีทุนทรัพย์ 410,000 บาท เมื่อจำเลยแพ้คดี จำเลยอุทธรณ์คดีของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง จำเลยจะต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อัตราร้อยละ 2.5 จากทุนทรัพย์410,000 บาท จำนวน 10,250 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลไว้เพียง300 บาท ยังขาดอีก 9,950 บาท เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นจะต้องเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนก่อนแล้วจึงสั่งอุทธรณ์ แม้จำเลยไม่วางเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาเป็นรายเดือนหรือหาประกันให้ไว้ในการยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 ก็เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นควรสั่งอุทธรณ์จำเลยเสียใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดจำนวน 9,950 บาท ในเวลาที่กำหนดแล้วมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยเสียใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคแรก

จำเลยฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 เฉพาะประเด็นจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ใจความว่า จำเลยปลูกบ้านเลขที่ 75 ในที่ดินโฉนดเลขที่ 11571 และในที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 11114 จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทแท้จริงเพียง 142,800 บาท จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จำนวน 3,570 บาท จำเลยเสียค่าขึ้นศาลไว้แล้ว 300 บาท จึงต้องเสียอีก 3,270 บาท

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่า เป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดเลขที่ 11114 และโฉนดเลขที่ 11571จำเลยให้การว่ามารดาของจำเลยได้ครอบครองสร้างบ้านและทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตั้งแต่ปี 2503 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลาถึง 36 ปี ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของมารดาจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท คดีของโจทก์จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยว่า คดีนี้เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละสี่พันบาทต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง และสั่งไม่รับอุทธรณ์นั้นชอบแล้ว เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 แต่จำเลยไม่นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อพิจารณาสั่งต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีอำนาจที่จะสั่งว่า จำเลยทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความแต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับสั่งว่าคดีของจำเลยมีทุนทรัพย์ให้ศาลชั้นต้นเรียกให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์แล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่ ถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 243 ประกอบมาตรา 247 คำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2จึงไม่ชอบ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ดังนั้นฎีกาของจำเลยเรื่องจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทและค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะวินิจฉัยต่อไป

พิพากษายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2มีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี และยกฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้จำเลย

Share