คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1430/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายที่ดินทำสำเร็จเพราะนายหน้าชี้ช่องชักนำผู้ซื้อมาพบปะเจรจากับผู้ขาย แม้จะมีผู้อื่นมาเจรจาให้ตกลงราคาโดยตัดค่านายหน้าออก ผู้ขายก็ต้องรับผิดให้ค่านายหน้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอาชีพเป็นนายหน้าวิ่งเต้นขายที่ดินเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2493 ได้มีบุคคลภายนอกผู้หนึ่งมาบอกแก่โจทก์ว่าจำเลยทั้งสามคนเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 544 ตำบลสามยอดอำเภอสำเพ็ง (ป้อมปราบ) จังหวัดพระนคร มีความประสงค์จะขายที่ดินนี้พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด เป็นราคา 250,000 บาท บุคคลภายนอกผู้นั้นได้จดรายการละเอียดให้แก่โจทก์ แนะนำให้โจทก์วิ่งเต้นขายเพื่อได้รับค่านายหน้าเป็นผลประโยชน์ตอบแทน โจทก์ได้พยายามวิ่งเต้นจนพบผู้ซื้อคือนางเลื่อน วีระรัตน์ ๆ ให้โจทก์ไปต่อราคาลงเพียง220,000 บาท โจทก์ไปต่อราคาตามนี้ จำเลยว่าไม่ได้ และขอให้โจทก์พาผู้ซื้อมาพบเพื่อเจรจา โจทก์จึงพานางเลื่อนไปพบจำเลยที่ 1-2 ที่บ้านจำเลยเพื่อเจรจาเรื่องราคาและเงื่อนไขในการซื้อขาย นางเลื่อนได้ขอต่อราคา 235,000 บาท ในวันนั้นยังไม่ตกลงกันเพราะต่างฝ่ายขอตรึกตรองดูก่อน โจทก์จำเลยได้ตกลงกันด้วยวาจาว่าหากได้มีการซื้อขายกัน จำเลยยินดีจ่ายค่านายหน้าให้โจทก์ตามธรรมเนียม (ร้อยละห้า)

ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2494 โจทก์ทราบว่านางเลื่อนได้ตกลงซื้อที่รายนี้ในราคา 235,000 บาท จากจำเลยทั้งสาม ได้วางมัดจำให้จำเลย 15,000 บาท สัญญาจะไปโอนกรรมสิทธิ์กันภายใน 30 วัน โจทก์ไปพบจำเลยขอค่านายหน้า จำเลยกับบิดพริ้ว และต่อมาวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2494 จำเลยได้รับเงินค่าซื้อขายที่นี้ครบถ้วนแล้ว จำเลยก็ไม่ยอมชำระค่านายหน้าให้โจทก์

จึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์เป็นเงิน 11,750 บาท พร้อมกับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 544 และมีเจตนาจะขายที่นี้พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างเป็นราคา 250,000 บาท จริง แต่โจทก์ไม่เคยแสดงตัวเป็นนายหน้าและจำเลยไม่เคยมอบหมายให้โจทก์พาเจ้าของเงินมาพบ เป็นแต่นางเลื่อนได้เคยพบกับจำเลยที่ 1-2 โดยมากับบุคคลอื่นอีก 4 คนรวมทั้งโจทก์ด้วย นางเลื่อนเป็นคนพูดต่อราคาเอง และไม่มีบุคคลใดแสดงตัวเป็นนายหน้าทั้งจำเลยก็มิได้ตกลงกับโจทก์ในการจ่ายค่านายหน้า ต่อมาจำเลยได้ขายที่นี้ให้แก่นางเลื่อนในราคา235,000 บาท โดยตกลงกันว่าไม่มีค่านายหน้าถ้ามีค่านายหน้าจำเลยก็ไม่ยอมตกลงด้วย

ศาลแพ่งพิจารณาแล้วฟังว่า โจทก์ได้เป็นนายหน้าคือเป็นผู้ชี้ช่องจัดการให้นางเลื่อนกับจำเลยได้ทำการซื้อขายที่ดินบ้านเรือนรายนี้สำเร็จจำเลยจะปฏิเสธไม่จ่ายค่านายหน้าหาได้ไม่พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันจ่ายค่านายหน้าให้โจทก์เป็นเงิน11,750 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนาย 500 บาท แทนโจทก์

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีแล้ว พิพากษายืน ให้ยกอุทธรณ์จำเลยเสียส่วนค่าทนายความฝ่ายโจทก์ก็เห็นไม่ควรให้ใช้เพราะมิได้แก้อุทธรณ์หรือมาแถลงการณ์ชั้นศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับไป

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีเรื่องนี้แล้ว ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยประสงค์จะขายที่ดินและบ้านเรือนได้ให้นางย้อนพยานจำเลยวิ่งเต้นหาผู้ซื้อในราคา 250,000 บาท จะให้ค่านายหน้าตามธรรมเนียม นางย้อยมาบอกแก่นางหยัด ต่อมานางหยัดมาบอกโจทก์ผู้มีอาชีพในทางนายหน้าซื้อขายที่ดินให้วิ่งเต้นขายที่รายนี้ โจทก์กับนางหยัดไปหานางย้อย บุตรนางย้อยทำแผนที่และรายละเอียดมอบให้โจทก์ไป โจทก์วิ่งเต้นหาผู้ซื้อไปพบนายชาญขอให้นายชาญช่วยวิ่งเต้นอีกต่อหนึ่ง นายชาญหาตัวผู้ต้องการซื้อได้แล้วมาบอกโจทก์ ๆ พานายชาญไปดูที่ดินบ้านเรือน นายชาญพานางเลื่อนไปดูแล้วกลับมาบอกโจทก์ว่า นางเลื่อนต่อราคา 2 แสน 2 หมื่นโจทก์ไปหานางหยัดไม่พบ พบแต่นางเย็น ๆ พาโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1-2 นางเย็นแนะนำว่า โจทก์เป็นนายหน้ามาติดต่อเรื่องจะขายที่ดิน โจทก์จึงบอกว่าหาตัวผู้ซื้อได้แล้วเขาขอให้ราคา 2 แสน 2 หมื่น จำเลยที่ 1 ว่าขาดทุน โจทก์ได้เจรจาต่อรองอยู่อีกในที่สุด จำเลยที่ 1 พูดว่า ให้ไปนำผู้ซื้อมา อาจตกลงกันได้ โจทก์ขอให้จำเลยทำสัญญานายหน้า จำเลยที่ 1 ว่าได้ตกลงก่อนทำฝ่ายผู้ซื้อก็ต้องการพบผู้ขาย อยากเจรจากันเอง ต่อมาโจทก์จึงพานางเลื่อนไปพบกับจำเลยที่ 1-2 โดยมีนายชาญ นางหลี และน้องชายนางเลื่อนไปด้วย นางเลื่อนได้ต่อราคาขึ้นไปจนถึง 235,000 บาท จำเลยที่ 1 ยังไม่ตกลงจึงพากันกลับ

ต่อมา 2-3 วัน เรือโทกฤษณ์ หลานนางเลื่อนทราบเรื่องนี้จึงไปหาจำเลยที่ 3 ให้พาไปหาจำเลยที่ 1 ขอตกลงในราคา 235,000 บาท ตามที่นางเลื่อนเคยต่อไว้ และเรือโทกฤษณ์ไม่ขอรับค่านายหน้าจำเลยเห็นเรือโทกฤษณ์ ไม่รับค่านายหน้า ก็ยอมตกลงขายในราคา 235,000 บาท ต่อมานางเลื่อนวางมัดจำ 15,000 บาท แล้วต่อมาก็ได้ทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จในราคา 235,000 บาท ก่อนตกลงขายกันจำเลยไม่ได้บอกเลิกค่านายหน้ากับโจทก์ หรือนางย้อยนางหยัดเลย โจทก์ขอค่านายหน้าจากจำเลย ๆ ไม่ยอมให้

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยขายที่ดินและบ้านเรือนรายนี้ให้แก่นางเลื่อนได้ราคา 235,000 บาทสำเร็จ ก็เพราะเนื่องแต่ผลแห่งการที่โจทก์ผู้เป็นนายหน้าได้ชี้ช่องและจัดการติดต่อชักนำให้นางเลื่อนผู้ซื้อและจำเลยผู้ขายได้มาพบปะเจรจากัน ส่วนเรือโทกฤษณ์มากระทำหน้าที่เพียงเป็นผู้มาขอตัดค่านายหน้าออกเท่านั้นแต่เรือโทกฤษณ์หาใช่เป็นนายหน้าไม่ เป็นเพียงผู้แทนของนางเลื่อนมาเจรจากับจำเลยเพื่อตกลงตามถ้อยคำที่ได้พูดกันไว้แล้วนั้นจะมาบอกปัดไม่ให้จำเลยต้องชำระค่านายหน้าให้แก่โจทก์ด้วยหาได้ไม่เรือโทกฤษณ์จัดการโดยไม่คิดผลประโยชน์อย่างใดในส่วนตนก็ตามทีแต่ก็หาเกี่ยวแก่ฝ่ายโจทก์ไม่ จำเลยยอมตกลงให้ไปโดยไม่ได้ตกลงกับโจทก์หรือผู้แทนฝ่ายโจทก์ซึ่งเป็นนายหน้าจัดการในเรื่องนี้ว่าจะเลิกกันหรือประการใด จำเลยยอมรับเอาผลของการที่โจทก์จัดการให้ไว้มาเป็นประโยชน์ จนอำนวยความสำเร็จให้ได้ดังประสงค์ดังนี้แล้ว จะไม่ยอมใช้ค่านายหน้าให้แก่โจทก์หาได้ไม่ถ้าโจทก์ไม่นำนางเลื่อนติดต่อเจรจากับจำเลยแล้ว สัญญาซื้อขายรายนี้ก็ย่อมจะไม่บังเกิดขึ้น การที่จำเลยรั้งรออยู่ชั่วขณะหนึ่งมิได้ตกลงในทันทีนั้น จะเรียกว่าได้เลิกการขายหรือเลิกสัญญานายหน้าไม่ได้ เพราะความจริงมิได้เลิก หากรอตรึกตรองชั่วเวลาอันเล็กน้อย แล้วก็ตกลงตามถ้อยคำที่ได้เจรจากันไว้แล้วนั้นเองข้อที่จำเลยว่า โจทก์ไม่เคยแสดงตนเป็นนายหน้าและจำเลยมิได้ตกลงกับโจทก์ว่าจะจ่ายค่านายหน้านั้นหาเป็นความจริงไม่ เพราะจำเลยเองก็ยอมรับว่า โจทก์มากับนางเลื่อนมาเจรจาขอซื้อที่ดินบ้านเรือนซึ่งจำเลยบอกขายนี้ โจทก์ประกอบอาชีพทางนายหน้าตามพฤติการณ์ก็ย่อมเป็นที่คาดหมายได้ว่า ย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเป็นการตกลงโดยปริยาย ทั้งพยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันว่าได้พูดจากับจำเลยถึงเรื่องค่านายหน้าโดยชัดเจนแล้วด้วยจำเลยย่อมจะรู้สึกว่าจะต้องจ่ายค่านายหน้าจึงรีรอมิได้ตกลงขายทันที ต่อเมื่อเรือโทกฤษณ์มาดำเนินการให้ จำเลยคิดว่าจะไม่ต้องให้ค่านายหน้าแก่โจทก์ จึงตกลงกันตามที่พูดไว้แต่เดิมนั้นเอง ถ้าจำเลยแน่ใจว่าไม่มีนายหน้าจัดการมาแต่เดิมแล้ว ก็น่าเชื่อว่าจำเลยคงจะตกลงขายทันทีเสร็จไปแล้วไม่ต้องรั้งรอให้เรือโทกฤษณ์มาพูดในภายหลังอีกเลย

เห็นว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบด้วยข้อเท็จจริงและบทกฎหมายแล้ว

จึงพิพากษายืนตาม ให้ยกฎีกาของจำเลย

Share