คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2532

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ป.อ. มาตรา 216 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมกันเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้กระทำได้ลงมือใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ หรือทำให้เกิดความวุ่นวายอันเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 ดังนั้นมาตรา 216 จึงเป็นความผิดต่างหากอีกบทหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หากเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งให้เลิกแล้ว แต่ผู้กระทำไม่เลิกตามคำสั่งของเจ้าพนักงานและได้กระทำต่อไปจนเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 ผู้กระทำก็ย่อมมีความผิดทั้งมาตรา215 และ 216 อันเป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการมั่วสุมและไม่เลิกตามคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งเป็นเจตนาเดียวกัน จึงต้องลงโทษตามมาตรา 216 ซึ่งเป็นบทหนัก.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,215, 216, 358, 359
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายขอถอนคำร้องทุกข์ในความผิดต่อส่วนตัว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และจำหน่ายคดีของโจทก์เฉพาะความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ของผู้เสียหายออกเสียจากสารบบความ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215, 216, 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเป็นสองกรรม
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์ การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215เพียงบทเดียว ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 216อีกบทหนึ่ง พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสอง เพียงบทเดียว ส่วนกำหนดโทษคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยตามคำบรรยายฟ้องจะเป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า มาตรา 216 มุ่งประสงค์ลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ไม่ยอมเลิกการมั่วสุมกันเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 ซึ่งเป็นการกระทำที่ยังไม่ถึงขั้นที่ผู้กระทำได้ลงมือใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญหรือทำให้เกิดความวุ่นวายอันเป็นความผิดสำเร็จตาม มาตรา 215ดังนั้นมาตรา 216 จึงเป็นความผิดต่างหากอีกบทหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หากเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งให้เลิกแล้ว แต่ผู้กระทำไม่เลิกตามคำสั่งของเจ้าพนักงานและได้กระทำต่อไปจนเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 ผู้กระทำก็ย่อมมีความผิดทั้งมาตรา 215 และมาตรา 216อันเป็นกรรมเดียวที่เกิดจากการมั่วสุมและไม่เลิกตามคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งเป็นเจตนาเดียวกัน คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องข้อ (ก) ว่าเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2529 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและร่วมกันใช้ก้อนอิฐ ก้อนหิน และวัตถุของแข็งเป็นอาวุธ ขว้างปาประทุษร้ายเจ้าพนักงานตำรวจ และเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองจังหวัดภูเก็ตในขณะที่ห้ามปรามมิให้มีขว้างปา ทำลายศาลาประชาคม กับขว้างปาเผาทำลายโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินและโรงงานไทยแลนด์แทนทาลัมอินดัสตรี จำกัด ซึ่งเป็นการบรรยายฟ้องในการกระทำตามมาตรา 215ส่วนฟ้องข้อ (ข) โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจและเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองจังหวัดภูเก็ต สั่งให้จำเลยกับพวกที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามฟ้องข้อ (ก) ให้เลิกไป แต่จำเลยกับพวกก็ไม่ยอมเลิก อันเป็นการบรรยายฟ้องในการกระทำตามมาตรา 216ซึ่งตามคำฟ้องข้อ (ข) นี้ย่อมมีความหมายเพียงว่าเจ้าพนักงานได้มีคำสั่งให้เลิกในขณะที่จำเลยกับพวกกำลังมั่วสุมกันเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215 เท่านั้น ข้อความตามคำฟ้องนี้ไม่อาจแปลความได้ว่า ในขณะที่เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งให้เลิกนั้น จำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำการครบถ้วนอันเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215แล้ว ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย การที่จำเลยกับพวกได้กระทำการต่อไปจนเป็นความผิดสำเร็จตามมาตรา 215 โดยไม่เลิกตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน ย่อมมีความผิดตามมาตรา 215 อีกบทหนึ่ง อันเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามมาตรา 216 ซึ่งต้องลงโทษตามมาตรา 216ซึ่งเป็นบทที่มีโทษที่หนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสอง เพียงบทเดียว จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และการกระทำของจำเลยหาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคสอง, 216, 83 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 216 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์”

Share