แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะขับรถจักรยานยนต์พาไปส่ง แล้วกลับให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของ จ. พวกของจำเลยที่ 1 พาไปพักที่โรงแรม เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เดินออกจากโรงแรม จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายที่ 1 กลับเข้าไปในห้องพักภายในโรงแรมโดยมี จ. ซึ่งไปด้วยรออยู่แล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจกับพวกที่ไปด้วยกัน เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ถูกพวกของจำเลยที่ 1 ที่ไปด้วยกันกระทำชำเรา การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี แต่ความผิดฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารนั้น จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาเดียวคือพาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้พวกของตนกระทำชำเรา จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี หาใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่โจทก์ฟ้องไม่
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำนั้นเอง หรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้ว ก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และ จ. กับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อสนองความใคร่ของ จ. ซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 283
แม้ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 มี พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.อ. (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 เดิม และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317, 283, 283 ทวิ, 279, 277, 86, 83
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก, 279 วรรคสอง ประกอบมาตรา 86 มาตรา 283 วรรคสาม, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหาล่อไปหรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย และฐานพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานเป็นธุระจัดหาล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี ฐานสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี และฐานสนับสนุนผู้อื่นให้กระทำความผิดฐานกระทำอนาจารเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่ออนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 17 ปี 8 เดือน คำให้การและทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี 15 เดือน ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุ ส. ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ เป็นบุตรของนางสุนีย์ ผู้เสียหายที่ 2 ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายที่ 1 จำเลยที่ 2 นางราตรีหรือเขียว นายจิรศักดิ์หรือโจ๊คและนายวิสาหรือปาน ไปร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของบุตรจำเลยที่ 1 ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 จำเลยทั้งสอง นางเขียว นายโจ๊คและนายปานได้ไปเข้าพักนอนที่โรงแรมสายลม หมู่ที่ 1 ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช แล้วผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำชำเรา หลังจากนั้นนายโจ๊คจึงพาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่บ้าน คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์มิได้อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 มาเบิกความว่า วันเกิดเหตุ นางเขียวไปหาผู้เสียหายที่ 1 ชวนให้ไปร่วมงานวันเกิดที่บ้านจำเลยที่ 1 โดยบอกว่าหากไม่ไปจะถูกตบ ผู้เสียหายจึงยอมไป ขณะที่อยู่ที่บ้านจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 บอกนางเขียวให้ไปส่งที่บ้าน แต่จำเลยที่ 1 บอกว่าจะไปส่งเอง หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์ให้ผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้ายและมีรถจักรยานยนต์อีกสองคันแล่นตามหลังคือรถของจำเลยที่ 2 และนางเขียว กับรถจักรยานยนต์คันที่นายปานขับมีนายโจ๊คนั่งซ้อนท้าย จำเลยที่ 1 ขับรถไปหยุดรถจักรยานยนต์อีกสองคันดังกล่าวที่สามแยกหน้าโรงพยาบาลสิชล เมื่อรถจักรยานยนต์อีกสองคันแล่นตามมาหยุดข้างรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่นายโจ๊คนั่งโดยบอกว่านายโจ๊คจะเป็นผู้ไปส่งผู้เสียหายที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 บอกนายโจ๊คให้รีบขับรถตามไป ระหว่างนั้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 กับรถจักรยานยนต์ของนางเขียวแล่นนำหน้า ส่วนรถของผู้เสียหายที่ 1 แล่นตามหลัง แต่จำเลยที่ 1 กับนางเขียวขับรถไปที่โรงแรมสายลมแล้วจำเลยที่ 1 กับนางเขียวไปเปิดห้องพักผู้เสียหายที่ 1 จึงเดินออกจากโรงแรม แต่จำเลยที่ 1 และนางเขียวได้จับมือผู้เสียหายที่ 1 พาเข้าไปในโรงแรมซึ่งเปิดห้องพักไว้ 2 ห้อง จำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปในห้อง ซึ่งมีนางเขียว จำเลยที่ 2 และนายโจ๊ครออยู่แล้วปิดประตู ส่วนจำเลยที่ 1 กับนายตาล (ที่ถูกนายปาน) พักอยู่อีกห้องหนึ่ง ขณะเข้าไปในห้อง จำเลยที่ 2 กับนางเขียวนอนอยู่บนเตียง เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เข้าไปในห้อง นายโจ๊คพาผู้เสียหายที่ 1 ขึ้นนอนบนเตียงแล้วปิดไฟ หลังจากนั้นนายโจ๊คถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายที่ 1 แล้วข่มขืนกระทำชำเราเสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายที่ 1 ไปสวมเสื้อผ้าในห้องน้ำแล้วขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปส่งที่บ้าน ผู้เสียหายที่ 2 เบิกความว่า วันเกิดเหตุ เวลา 1.30 นาฬิกา ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งไปทำงานที่ร้านคาราโอเกะเป็นคืนแรกยังไม่กลับบ้าน ผู้เสียหายที่ 2 ให้นายบุญธรรม ซึ่งเป็นสามีขับรถจักรยานยนต์พาไปที่ร้านคาราโอเกะ พบว่าร้านปิดแล้ว และตามไปที่ร้านเซเว่นอีเลฟเว่นก็ไม่พบผู้เสียหายที่ 1 จึงกลับบ้าน แล้วผู้เสียหายที่ 2 กับนางราตรี พี่ของนางเขียวขับรถจักรยานยนต์ไปที่บ้านนางชม้ายมารดาของจำเลยที่ 1 นางชม้ายบอกว่าผู้เสียหายที่ 1 กลับไปแล้ว ผู้เสียหายที่ 2 ขับรถตามหาผู้เสียหายที่ 1 แต่ไม่พบจึงกลับบ้าน พบผู้เสียหายที่ 1 อยู่ที่บ้าน ผู้เสียหายที่ 2 สอบถามแต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่บอก ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 เล่าให้นางราตรีฟัง ผู้เสียหายที่ 2 จึงให้ผู้เสียหายที่ 1 เล่าความจริงทั้งหมด ผู้เสียหายที่ 1 จึงเล่าว่าเมื่อออกไปถึงสามแยกจำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายที่ 1 ให้ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายโจ๊คเพื่อกลับบ้าน แต่นายโจ๊คไม่ได้พากลับบ้านและพาไปที่โรงแรมสายลม ที่โรงแรมจำเลยที่ 1 กับนางเขียวเปิดห้องพัก ผู้เสียหายที่ 1 เดินออกจากโรงแรม แต่จำเลยที่ 1 มาดึงมือไว้และพาเข้าไปในห้อง หลังจากนั้นนายโจ๊คจับมือไว้ไม่ให้ออกนอกห้องแล้วกระทำชำเรา ผู้เสียหายที่ 2 จึงพาผู้เสียหายที่ 1 ไปร้องทุกข์ เห็นว่า ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความสอดคล้องตรงกัน โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 1 เบิกความตรงกับที่เคยให้การในชั้นสอบสวน ซึ่งเป็นการให้การต่อพนักงานสอบสวนต่อหน้าพนักงานอัยการและนักสังคมสงเคราะห์ ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้เยาว์ ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายที่ 1 จะเบิกความใส่ร้ายปรักปรำจำเลยที่ 1 เชื่อว่าผู้เสียหายที่ 1 เบิกความไปตามความเป็นจริง คำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 จึงน่าเชื่อถือ ที่จำเลยที่ 1 นำสืบโดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า นางราตรีหรือเขียวเป็นผู้บอกให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของนายโจ๊ค และนายปานบอกให้จำเลยที่ 1 ไปนั่งซ้อนท้ายรถของนายปาน และจำเลยที่ 1 ถูกนายปานลากมือพาเข้าไปในห้องแล้วข่มขืนกระทำชำเราด้วยนั้น ขัดแย้งกับที่จำเลยที่ 1 เคยให้การในชั้นสอบสวน ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การไว้ว่า วันเกิดเหตุหลังจากเลิกงานวันเกิดที่บ้านจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 กับนายปานไปเปิดห้องพักนอนด้วยกันที่โรงแรมสายลม ส่วนนางราตรีหรือเขียว นายโจ๊ค นายเล่ และผู้เสียหายที่ 1 ไปไหนกัน จำเลยที่ 1 ไม่ทราบ ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าเชื่อถือไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายที่ 1 มาก่อน วันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ไปร่วมงานที่บ้านจำเลยที่ 1 โดยไปกับนางราตรีหรือเขียว มิใช่จำเลยที่ 1 เชื้อเชิญให้ไป จึงไม่มีเหตุผลที่จำเลยที่ 1 จะต้องไปส่งผู้เสียหายที่ 1 ที่จำเลยที่ 1 เบิกความว่าต้องไปส่งเพราะเป็นเจ้าภาพไม่มีเหตุผลให้รับฟัง การที่จำเลยที่ 1 บอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าจะขับรถจักรยานยนต์พาไปส่ง แล้วกลับให้ผู้เสียหายที่ 1 ไปนั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ของนายโจ๊คพวกของจำเลยที่ 1 พาไปพักที่โรงแรมสายลม เมื่อผู้เสียหายที่ 1 เดินออกจากโรงแรม จำเลยที่ 1 พากลับเข้าไปในห้องภายในโรงแรมโดยมีนายโจ๊คซึ่งไปด้วยรออยู่แล้ว แสดงว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นเป็นใจกับพวกที่ไปด้วยกัน เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ถูกข่มขืนกระทำชำเราโดยพวกของจำเลยที่ 1 ที่ไปด้วยกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีตามที่โจทก์ฟ้อง แต่ความผิดฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารนั้น จำเลยที่ 1 กับพวกมีเจตนาเดียวคือพาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้พวกของตนข่มขืนกระทำชำเรา จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี หาใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่โจทก์ฟ้องไม่ ที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 นั้น เห็นว่า ความผิดตามมาตรา 283 ต้องเป็นกรณีที่เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น ถ้าเป็นกรณีที่กระทำไปเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำนั้นเอง หรือร่วมกันกระทำเพื่อผู้ใดในบรรดาผู้ร่วมกระทำด้วยกันแล้ว ก็หาเป็นความผิดตามมาตรานี้ไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 และนายโจ๊คกับพวกร่วมกันพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อสนองความใคร่ของนายโจ๊คซึ่งเป็นผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 283 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
อนึ่ง แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 19) พ.ศ.2550 มาตรา 3 ให้ยกเลิกความในมาตรา 277 เดิม และให้ใช้ข้อความใหม่แทน แต่กฎหมายที่แก้ไขใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก (เดิม), 279 วรรคสอง ประกอบมาตรา 86, 283 ทวิ วรรคสอง, 317 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานร่วมกันพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร ฐานสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี และฐานสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนผู้อื่นในการกระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 7 ปี 8 เดือน ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี 9 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8