คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำ ส. พยานจำเลยเข้าสืบยังไม่จบปากแล้วแถลงไม่ติดใจสืบพยานปากนี้อีกต่อไป แต่ศาลแรงงานกลางก็มิได้รับฟังคำเบิกความของส.โดยตรง เพราะยังมีพยานเอกสารและพยานบุคคลอีกหลายปากที่ศาลแรงงานกลางนำมาวินิจฉัย โดยไม่ว่าจะฟังคำเบิกความของ ส. หรือไม่ ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลแรงงานกลางยอมรับคำเบิกความของ ส. มาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบเพราะโจทก์ไม่มีโอกาสซักค้าน จึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายคำนวณราคาต้นทุนสินค้าแล้วขาดทุนทุกครั้ง เป็นเพียงความสามารถที่จะทำให้เกิดผลในการงานเท่านั้นมิใช่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ส่วนในเรื่องประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น ศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำโดยประมาท กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
กรณีที่โจทก์ไม่ปฏิบัติงานตามระเบียบที่เคยปฏิบัติโดยไม่ยอมลงชื่อนำเงินไปฝากสถาบันการเงินที่จำเลยเคยฝากเป็นประจำ ดำเนินการประมูลงานไม่ได้ ข้อเสนอของโจทก์ไม่เป็นผลดีแก่จำเลยนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องความคิดเห็นในการทำงานซึ่งอาจถูกหรือผิด ได้ผลหรือไม่ได้ผล มิใช่เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำหน้าที่ผู้จัดการฝ่ายขายของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลยโจทก์ไม่เคยขายสินค้าให้จำเลยได้กำไรเลย ทำให้จำเลยขาดทุนต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับโจทก์เป็นล้าน ๆ บาท โจทก์จงใจประมาทเลินเล่อและทุจริตต่อหน้าที่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้ ไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยประเด็นเรื่องการรับฟังพยานหลักฐานและค่าชดเชยว่า โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยสืบนายสมนึกยังไม่จบปากแล้วแถลงไม่ติดใจสืบพยานปากนี้อีกต่อไป โจทก์ไม่มีโอกาสซักค้านพยานปากนี้ ศาลแรงงานกลางยอมรับคำเบิกความปากนี้มาวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ศาลแรงงานกลางมิได้นำคำเบิกความของนายสมนึกมาฟังแต่ลำพังศาลแรงงานกลางกล่าวพาดพิงถึงพยานจำเลยปากนี้อยู่ ๒ ปัญหา ปัญหาแรกโจทก์มีหน้าที่คิดคำนวณราคาต้นทุนของสินค้าที่จำเลยจะสั่งซื้อหรือไม่ โดยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าตามสัญญาจ้างโจทก์เอกสารหมาย ล.๒ เกี่ยวกับขอบเขตการทำงานของโจทก์ ข้อ ๒ โจทก์มีหน้าที่นำเสนอราคาหรือเตรียมการเสนอราคา แสดงว่าโจทก์มีสิทธิร่วมในการที่จะต้องทำการตระเตรียมเกี่ยวกับราคาสินค้าที่จะต้องขายอยู่ด้วย โดยเฉพาะตัวโจทก์เองก็มีตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายโดยตรงอยู่แล้ว พยานจำเลยหลายปากโดยเฉพาะผู้ที่เคยทำงานเป็นผู้ช่วยโจทก์ก็ยังได้เบิกความยืนยันว่าโจทก์มีหน้าที่คิดราคาต้นทุนด้วย ปัญหาที่สองเกี่ยวกับเรื่องโจทก์มีปัญหากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยก็ได้นำผู้ใต้บังคับบัญชามาเบิกความเป็นพยานและนำหลักฐานใบลาออกมาแสดงต่อศาลซึ่งมีเหตุน่าเชื่อว่ามีปัญหาอยู่จริง เห็นว่า แม้นายสมนึกจะเคยทำงานเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ แต่ศาลแรงงานกลางก็มิได้รับฟังคำเบิกความของนายสมนึกโดยตรง ในปัญหาแรกเป็นการวินิจฉัยเชื่อตามเอกสารหมาย ล/๒ และตำแหน่งหน้าที่ของโจทก์ ส่วนพยานบุคคลก็ระบุว่ามีหลายปาก ดังนั้น แม้จะไม่รับฟังคำเบิกความของนายสมนึกก็หาทำให้ผลการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงไปไม่ ส่วนในปัญหาที่สองก็ปรากฏว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของโจทก์ที่ขัดแย้งกับโจทก์จนถึงกับทำใบลาออกนั้นก็มิได้มีนายสมนึกคนเดียว ยังมีนางสาวภัทรีเลขา ฯ ของโจทก์ด้วยอีกผู้หนึ่งที่กระทำเช่นนั้น ทั้งนายสมนึกก็มิได้เบิกความว่าขัดแย้งกับโจทก์จนถึงกับต้องลาออก คงปรากฏจากคำเบิกความของนางสาวศรีจันทร์พยานจำเลยอีกปากหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ในปัญหาข้อนี้ศาลแรงงานกลางจึงมิได้นำคำเบิกความของนายสมนึกมาพิจารณาแต่อย่างใด สรุปแล้ว ไม่ว่าจะฟังคำเบิกความของนายสมนึกหรือไม่ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลแรงงานกลางเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ข้ออุทธรณ์ของโจทก์ไม่อาจทำให้โจทก์ชนะคดีได้ ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีอันควรต้องวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
ข้อที่โจทก์คำนวณราคาต้นทุนสินค้าและขายขาดทุนนั้น เป็นเพียงความสามารถที่จะทำให้เกิดผลในการงานเท่านั้น มิใช่โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ส่วนในข้อประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงนั้น การประมาทหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงศาลแรงงานกลางมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์กระทำโดยประมาท กรณีจึงไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ข้อที่ว่าโจทก์พยายามจะไม่ปฏิบัติงานตามระเบียบที่เคยปฏิบัติกันมาโดยไม่ยอมลงชื่อนำเงินไปฝากสถานบันการเงินที่จำเลยเคยฝากเป็นประจำการดำเนินการประมูลติดตั้งดาวเทียมภาคพื้นดินกับกระทรวงมหาดไทยไม่ได้ข้อเสนอของโจทก์ไม่เป็นผลดีแก่จำเลยนั้น เป็นเรื่องของความคิดเห็นในการทำงานเท่านั้น ซึ่งอาจถูกหรือผิด ได้ผลหรือไม่ได้ผล ความคิดเห็นในการทำงานและการดำเนินการผิดพลาดไม่ได้ผลมิใช่เป็นเรื่องของการฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน.

Share