คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นย่อมมีผลเท่ากับให้ยกคำร้อง ของ ทนายจำเลยที่ขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจำเลยและทนายจำเลยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิฎีกาคำพิพากษาต่อไป.

ย่อยาว

กรณีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานขับรถจักรยานยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บในวันนัดสืบพยานโจทก์ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นพนักงานอัยการโจทก์ผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีได้แถลงว่าหมายเรียกพยานไป 2 ปากแต่พยานไม่มาศาลและไม่ทราบผลการส่งหมายทนายจำเลยแถลงว่าเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ได้แจ้งแก่ทนายจำเลยว่า พยานมาศาลแล้วเมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่นำพยานเข้าสืบก็ถือว่าไม่ติดใจสืบ ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตัดพยานดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาแถลงคัดค้านไม่ให้ตัดพยานเพราะพยานดังกล่าวไม่ได้มาศาล ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาและทนายจำเลยต่างโต้แย้งคัดค้านกันว่าพยานมาศาลหรือไม่จึงให้ทำการไต่สวน เมื่อทำการไต่สวนแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าพยานดังกล่าวมาศาลแล้ว แต่ผู้ถูกกล่าวหาให้กลับไปก่อน ผู้ถูกกล่าวหาทำให้การดำเนินคดีล่าช้าไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร เห็นสมควรว่ากล่าวตักเตือนและแจ้งเรื่องดังกล่าวให้อัยการจังหวัดทราบต่อมาในวันเดียวกันนั้น ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทำให้กระบวนพิจารณาล่าช้าโดยจงใจ และเป็นการแจ้งเท็จต่อศาล จำเลยได้รับความเสียหาย ถือว่าได้ก่อให้เกิดความไม่เรียบร้อย ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการละเมิดอำนาจศาล และลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมายต่อไปศาลชั้นต้นเรียกผู้ถูกกล่าวหามาศาล ผู้ถูกกล่าวหาแถลงว่า เพิ่งได้รับสำนวนคดีนี้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2532 เจ้าของสำนวนเดิมได้หมายเหตุไว้ว่ามีจำเลยอีกคนหนึ่งซึ่งจะต้องนำมาฟ้องที่ศาลชั้นต้นหากมีการนัดสืบพยานคดีนี้ก็ขอให้เลื่อนคดีไปก่อนเพื่อจะได้รวมการพิจารณาในภายหลัง ผู้ถูกกล่าวหาจึงให้บุคคลผู้พาพยานมาศาลพาพยานกลับไปก่อน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ได้ความจากการไต่สวนเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31(1)ถือว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลให้ปรับ 200 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 24มีนาคม 2532
จำเลยและทนายจำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับเฉพาะฎีกาของจำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั้นเป็นความผิดต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลย่อมเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ว่ากล่าวตักเตือนผู้ถูกกล่าวหาและแจ้งให้อัยการจังหวัดทราบนั้น ถือได้ว่าศาลชั้นต้นได้ชี้ขาดในเรื่องการละเมิดอำนาจศาลแล้ว การที่ทนายจำเลยและจำเลยยื่นคำร้องขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาอีก ศาลชั้นต้นจึงไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกคดีขึ้นมาวินิจฉัยและมีคำสั่งอีกได้ แล้วพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 24 มีนาคม 2532 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ย่อมมีผลเท่ากับให้ยกคำร้องของทนายจำเลยที่ขอให้ลงโทษผู้ถูกกล่าวหาในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นจำเลยหรือทนายจำเลยย่อมมิใช่ผู้เสียหายอันจะมีสิทธิฎีกาคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวได้”
พิพากษาให้ยกฎีกาของจำเลย.

Share