คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 646/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกและพยายามลักทรัพย์ แต่ให้ลงโทษฐานบุกรุกซึ่งเป็นบทหนักมาตราเดียวกัน จะถือว่าเป็นการลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ควบไปด้วยไม่ได้ จึงยังถือไม่ได้ว่า จำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ที่จะกักกันจำเลยได้

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ฟังได้ว่าจำเลยได้บังอาจปีนรั้วเข้าไปในโรงเรียนวัดบพิตรพิมุขในเวลากลางคืน แล้วเข้าไปลักทรัพย์ของนายนามไปรวมราคา ๙๗๐ บาท แต่จำเลยกระทำไปไม่ตลอด จึงถูกจับเสียก่อน ขอให้ลงโทษกักกันจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๔, ๓๖๕, ๓๓๕, ๘๐, ๔๑ ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕ ซึ่งเป็นบทหนัก โดยให้จำคุกจำเลย ๑ ปี ลดฐานจำเลยให้การรับสารภาพกึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย ๖ เดือน เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ส่งตัวไปกักกันมีกำหนด ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าไม่กักกันจำเลย
โจทก์ฎีกาขอให้กักกันจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลขั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานบุกรุกและพยายามลักทรัพย์ด้วยก็ตาม แต่การลงโทษจำเลย ศาลลงโทษฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ แต่เพียงมาตราเดียวเท่านั้น เช่นนี้จะถือว่าเป็นการลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ควบไปด้วยไม่ได้ เพราะการตีความในคดีอาญาต้องตีความตามตัวบทโดยเคร่งครัด และให้เป็นผลดีแก่จำเลย เมื่อเช่นนี้ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในความผิดที่ระบุไว้ตามฎีกาโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่กักกันจำเลยนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share