คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2572/2536

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ในขณะที่จำเลยก่อสร้างรั้วคอนกรีต จำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการก่อสร้างรั้วคอนกรีตรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เพราะทั้งโจทก์และจำเลยต่างเข้าใจโดยสุจริตด้วยเหตุสำคัญผิดว่าที่ดินส่วนที่จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลย แต่เมื่อจำเลยรู้ในภายหลังว่าที่ดินส่วนนั้นมิใช่ที่ดินของจำเลยแล้ว นับแต่วันที่จำเลยรู้เช่นนั้น จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะคงไว้ซึ่งรั้วคอนกรีตนั้นอีกต่อไป จำเลยจะต้องรื้อถอนรั้วดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่รื้อถอนจำเลยก็ได้ชื่อว่าจงใจกระทำละเมิด ต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีต และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1765ด้านทิศใต้อยู่ติดกับที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 140 เมื่อปี 2524จำเลยได้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตด้านทิศเหนือกั้นที่ดินโจทก์กับที่ดินจำเลยตลอดแนว ด้านทิศเหนือของที่ดินโจทก์ติดต่อกับที่ดินของนายสนอง สุวรรณมาลี กับนางเหรียญฟ้า สุวรรณมาลี โฉนดเลขที่ 1764เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2527 นายสนองกับนางเหรียญฟ้าได้ยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 395/2527 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรีไปทำการตรวจสอบเขตที่ดินโดยวิธีปูโฉนดปรากฏว่าโจทก์ได้ก่อสร้างรั้วเข้าไปในที่ดินของนางสนองและนางเหรียญฟ้าคิดเป็นเนื้อที่ 13 3/10 ตารางวาและปรากฏว่าจำเลยได้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ คิดเป็นเนื้อที่ 13 เศษ 3 ส่วน 10 ตารางวาโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตและให้ถอยร่นหลักเขตที่ดินที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีต โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามก็ขอให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนได้เอง โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายจำนวน 10,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะทำการรื้อถอนรั้วคอนกรีตออกเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 140 มาเมื่อวันที่28 กุมภาพันธ์ 2520 ขณะซื้อระหว่างที่ดินของโจทก์และของจำเลยมีรั้วลวดหนามเป็นแนวเขตและรั้วดังกล่าวมีมาก่อนที่จำเลยจะซื้อที่ดินหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากโจทก์ได้รบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลย จำเลยจึงได้ก่อสร้างรั้วคอนกรีตกั้นระหว่างที่ดินของโจทก์กับที่ดินของจำเลยตามแนวรั้วลวดหนามเดิม ก่อนการก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินของจำเลย โจทก์ได้ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินของโจทก์และของจำเลยแล้ว จำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่ประการใดการรังวัดตรวจสอบที่ดินโดยวิธีปูโฉนดของเจ้าพนักงานที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องเป็นการกระทำระหว่างนายสนองกับโจทก์ไม่ผูกพันจำเลยเพราะจำเลยได้ยืนยันแนวเขตที่แน่นอนของจำเลยแล้ว ผู้ขายที่ดินให้แก่จำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตามแนวเขตรั้วลวดหนามเดิมมาโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมารวมตลอดทั้งจำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินที่ซื้อต่อมาตามแนวเขตที่ดินเดิมโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเช่นกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งจำเลยจำเลยก่อสร้างรั้วคอนกรีตโดยสุจริตด้วยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยกจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตพิพาทรุกล้ำที่ดินโจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายสัมพันธ์ พรหมพินิจ ช่างรังวัดประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี ผู้รังวัดสอบเขตและผู้ทำแผนที่พิพาทเบิกความเป็นพยานโจทก์ประกอบแผนที่พิพาทเอกสารหมายจล.1 และ จล.2 ว่าพยานได้รังวัดทำแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จล.1ตามเขตที่ดินที่โจทก์และจำเลยครอบครองโดยการนำชี้เขตของโจทก์และจำเลยร่วมกัน ในการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลย จำเลยนำชี้เพื่อให้พยานรังวัดจากแนวรั้งคอนกรีตพิพาทซึ่งอยู่ทางด้านทิศเหนือของที่ดินจำเลยไปทางทิศใต้ของที่ดินซึ่งอยู่ติดต่อกับแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือของนางวิไล มานะวิจิตรวินิช แต่ปรากฏว่า จากการนำชี้ของจำเลยระยะที่วัดได้ไม่ถึงแนวหลักเขตร่วมระหว่างที่ดินของจำเลยและที่ดินของนางวิไล เกี่ยวกับเรื่องนี้นางวิไลได้เบิกความเป็นประจักษ์พยานโจทก์ยืนยันว่า จำเลยนำชี้ให้นายสัมพันธ์รังวัดที่ดินของจำเลยจากรั้วคอนกรีตด้านทิศเหนือไปไม่ถึงแนวเขตที่ดินของจำเลยที่ติดกับที่ดินของพยานด้านทิศใต้คือยังห่างแนวเขตอยู่อีกประมาณ 2 เมตร จากคำเบิกความของนายสัมพันธ์ และนางวิไลดังกล่าว แสดงว่า แนวเขตที่ดินของจำเลยด้านดังกล่าวที่ปรากฏในรูปแผนที่พิพาทมีระยะยาวกว่าความเป็นจริง ตามที่ปรากฏในรูปแผนที่โฉนดที่ดินของจำเลยเอกสารหมาย ล.3 อยู่มาก คือแทนที่ที่ดินของจำเลยด้านนี้จะมีความยาวไปจดแนวเขตที่ดินด้านทิศเหนือของนางวิไลกลับปรากฏว่าสุดแนวเขตที่ดินของจำเลยตามที่จำเลยนำชี้จะมีช่องว่างระหว่างแนวเขตที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้กับแนวเขตที่ดินของนางวิไลด้านทิศเหนือกว้างประมาณ 2 เมตร ที่ดินส่วนที่เป็นที่ว่างดังกล่าวนี้มีเหตุให้น่าเชื่อว่าเป็นแนวเขตรั้วคอนกรีตพิพาทที่รุกล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินของโจทก์ตามที่โจทก์อ้างนั่นก็หมายถึงว่า ถ้าจำเลยนำชี้ให้นายสัมพันธ์ทำแผนที่พิพาทวัดจากแนวหลักเขตร่วมระหว่างที่ดินของจำเลยด้านทิศใต้กับที่ดินของนางวิไลด้านทิศเหนือไปทางทิศเหนือของที่ดินของจำเลยก็จะมีที่ว่างระหว่างแนวเขตที่ดินที่จำเลยนำชี้กับแนวเขตรั้วคอนกรีตพิพาท กว้างประมาณ 2 เมตร เมื่อนำหนังสือของสำนักงานที่ดินจังหวัดกาญจนบุรี ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2527 เอกสารหมาย จ.2 ที่มีถึงศาลชั้นต้น แจ้งเรื่องที่จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตรุกล้ำที่ดินของโจทก์ให้ศาลชั้นต้นทราบมาฟังประกอบแล้ว เชื่อว่าจำเลยได้สร้างรั้วคอนกรีตพิพาทรุกล้ำที่ดินโจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องจริงที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์นั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาของจำเลยในประเด็นต่อมาที่ว่า การที่จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตพิพาทด้วยความรู้เห็นยินยอมของโจทก์ โดยทั้งโจทก์และจำเลยสำคัญผิดว่าที่ดินที่จำเลยก่อสร้างรั้วดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่จำเลยเมื่อความปรากฏในภายหลังว่า ที่ดินส่วนนั้นเป็นที่ดินของโจทก์การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าแม้ในขณะที่จำเลยก่อสร้างรั้วคอนกรีตพิพาท จำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อในการก่อสร้างรั้วคอนกรีตพิพาทรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เพราะทั้งโจทก์และจำเลยต่างเข้าใจโดยสุจริตด้วยเหตุสำคัญผิดว่าที่ดินส่วนที่จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินจำเลยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยรู้ในภายหลังว่าที่ดินส่วนนั้นมิใช่ที่ดินของจำเลยแล้ว นับแต่วันที่จำเลยรู้ว่าที่ดินส่วนที่จำเลยสร้างรั้วคอนกรีตพิพาทมิใช่ที่ดินของจำเลยแต่เป็นที่ดินของโจทก์จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะคงไว้ซึ่งรั้วคอนกรีตพิพาทนั้นอีกต่อไป กล่าวคือจำเลยจะต้องรื้อถอนรั้วดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ หากจำเลยไม่รื้อถอน จำเลยก็ได้ชื่อว่าจงใจกระทำละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 โจทก์ชอบที่จะฟ้องบังคับให้จำเลยรื้อถอนรั้วคอนกรีตพิพาทและเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยในประเด็นนี้ก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share