คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3307/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิม จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ซึ่งมีโจทก์ที่ 1 เป็นโจทก์ร่วมด้วย ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ อ. ถึงแก่ความตายคดีถึงที่สุด การพิพากษาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา จึงต้องฟังข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท ส่วนจำเลยที่ 2,3 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2,3 ฉะนั้นเมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2,3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำโดยประมาทจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2,3หรือไม่ โจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทหรือไม่ประเด็นนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2,3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะรับวินิจฉัยและโจทก์ย่อมฎีกาต่อมาอีกไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ำจเลยที่ 1 เป็นบุตรและลูกจ้างของจำเลยที่ 2และ 3 ขับรถยนต์กระบะบรรทุก ชนรถยนต์เก๋งจนเป็นเหตุให้นายอมฤตสามีของโจทก์ที่ 1 ถึงแก่ความตาย จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ในการจัดการศพ ค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 และค่าเสียหายเกี่ยวกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 4 รวมเป็นเงิน 950,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท และมิใช่ลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 249,150 บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นเงินคนละ120,000 บาท โจทก์ที่ 4 เป็นเงิน 53,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์ ระหว่าอุทธรณ์จำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ ศาลอุทธรณ์สั่งอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เดิมพนักงานอัยการจังหวัดลำพูนเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญา โจทก์ที่ 1 ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นวินิจฉัยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 80-0065 ลำพูน 55 โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์โจทก์ที่ 4 และเป็นเหตุให้นายอมฤตตาย คดีถึงที่สุด ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 จึงฟังข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มิได้เป็นคู่ความในคดีอาญา คำพิพากษาในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ที่ 3คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนขับและกระทำโดยประมาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 1มิได้ประมาทแล้วการที่จะวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 หรือไม่จึงไม่จำเป็น โจทก์ไม่อุทธรณ์ในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาทหรือไม่ ประเด็นข้อนี้จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ศาลอุทธรณ์ไม่ชอบที่จะรับไว้วินิจฉัย และโจทกืย่อมฎีกาต่อมาอีกไม่ได้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยกฎีกาโจทก์ คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาให้โจทก์ ค่าทนายความให้เป็นพับ.

Share