แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จะถือว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตนั้น จะต้องดูจากขณะที่ก่อสร้างว่าผู้ก่อสร้างรู้หรือไม่ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น ถ้ารู้ก็ถือว่าก่อสร้างโดยไม่สุจริต แต่ถ้าในขณะที่ก่อสร้างไม่รู้ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของบุคคลอื่น เข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเองจึงสร้างโรงเรือนลงไป ครั้นมาภายหลังจึงรู้ความจริง ก็ถือว่าเป็นการก่อสร้างรุกล้ำโดยสุจริต
ขณะจำเลยก่อสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้น ทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็ไม่รู้ว่าโรงเรือนดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็เพิ่งมาทราบถึงการปลูกสร้างรุกล้ำในภายหลัง แม้ว่าจำเลยจะไม่ได้รังวัดสอบเขตก่อนที่จะก่อสร้างก่อนก็ตาม กรณีดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อันจะเป็นการทำโดยไม่สุจริตได้
ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าใช้ที่ดิน ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินเป็นค่าชดใช้ที่ดินของโจทก์ไม่ได้ เป็นการเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านของจำเลยออกจากที่ดินโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าว หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอนโดยจำเลยออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ทราบว่าบ้านของจำเลยรุกล้ำที่ดินโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์เป็นค่าใช้ที่ดิน ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ พิพากษากลับ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม ๑,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงตามที่คู่กรณีไม่โต้แย้งกันฟังได้ว่า จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โดยขณะปลูกสร้างโรงเรือนดังกล่าวทั้งโจทก์และจำเลยต่างไม่ทราบว่าโรงเรือนดังกล่าวปลูกสร้างรุกล้ำที่ดินของโจทก์จนกระทั่งมีการตรวจสอบรังวัดเขตที่ดินเมื่อปี ๒๕๓๙ จึงทราบถึงการรุกล้ำดังกล่าว มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยว่า จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า การที่จะถือว่าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของบุคคลอื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตนั้น จะต้องดูจากขณะที่ก่อสร้างไม่รู้ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของคนอื่น ถ้ารู้ก็ถือว่าก่อสร้างโดยไม่สุจริต แต่ถ้าในขณะที่ก่อสร้างไม่รู้ว่าที่ดินตรงนั้นเป็นของบุคคลอื่น เข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนเองจึงสร้างโรงเรือนลงไป ครั้นมาภายหลังจึงรู้ความจริง ก็ถือว่าเป็นการก่อสร้างรุกล้ำโดยสุจริต เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังได้ว่า ขณะจำเลยก่อสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์นั้น ทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็ไม่รู้ว่าโรงเรือนดังกล่าวสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็เพิ่งมาทราบถึงการปลูกสร้างรุกล้ำในภายหลัง แม้ว่าจำเลยไม่ได้รังวัดสอบเขตก่อนที่จะก่อสร้าง แต่ขณะจำเลยก่อสร้างนั้นโจทก์ก็รู้เห็นด้วยมิได้โต้แย้งแต่อย่างใด กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง อันจะเป็นการทำโดยไม่สุจริตได้ ต้องฟังว่าจำเลยก่อสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ วินิจฉัยว่า ก่อนทำการปลูกสร้าง จำเลยไม่รังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดินก่อน จึงเป็นการปลูกสร้างตามอำเภอใจเป็นก่อสร้างประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ถือว่าเป็นการกระทำโดยไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย มีปัญหาต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยต่อไปว่า จำเลยจะต้องเสียเงินให้แก่โจทก์เป็นค่าใช้ที่ดินของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าใช้ที่ดิน ดังนั้น ศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระเงินเป็นค่าชดใช้ที่ดินของโจทก์ไม่ได้ เป็นการเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิคู่ความที่จะไปว่ากล่าวกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.