แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนจำเลยและทนายจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้ว มิได้มาศาล ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่า จำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ส่วนความในมาตรา 205 นั้นจะเป็นในวรรค 2 หรือ 3 ก็หมายความเฉพาะกรณีที่จำเลยมาศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว จึงจะพิจารณาว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่ ถ้ามาศาลเมื่อพ้นระยะเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้จำเลยสืบพยานของตนได้ คดีนี้ศาลสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยก็มิได้มาศาล จึงมิใช่กรณีที่จะให้สืบพยานจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรค 3 (1) แม้จำเลยจะได้ยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานไว้ ต้องถือว่าคดีเสร็จการพิจารณา ศาลพิพากษาไปได้ (อ้างฎีกาที่ 131/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวที่เช่าและเรียกค่าเสียหายฟ้อง
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้เป็นนิติบุคคล ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยไม่ได้เช่าตึกแถวพิพาก ไม่ได้ผิดสัญญาเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาการบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์เสียหายไม่เกินค่าเช่าที่โจทก์ได้รับ
ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยทราบวันนัดแล้ว ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยและทนายจำเลยไม่มาศาล ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปและขนย้ายทรัพย์สินไปจากตึกแถวพิพาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้สืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียวชอบแล้ว แต่เมื่อสืบพยานโจทก์หมดแล้ว ศาลชอบที่จะสั่งนัดสืบพยานจำเลยเพราะจำเลยได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว การขาดนัดพิจารณาไม่เป็นการตัดสิทธิในการสืบพยานของจำเลย ขอให้สั่งศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลย แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วศาลควรเลื่อนไปสืบพยานจำเลย โดยพิจารณาว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่เสียก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ นั้น ในวันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนจำเลยและทนายจำเลยทราบวันนัดสืบพยานโจทก์แล้วมิได้มาศาล ทั้งมิได้แจ้งเหตุขัดข้องหรือร้องขอเลื่อนคดี ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๒ บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว ส่วนความในมาตรา ๒๐๕ นั้นจะเป็นในวรรค ๒ หรือวรรค ๓ ก็หมายความเฉพาะกรณีที่จำเลยมาศาลในระหว่างการพิจารณาคดีฝ่ายเดียว จึงจะพิจารณาว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจงใจหรือไม่ ถ้ามาศาลเมื่อพ้นระยะเวลาที่จะนำพยานของตนเข้าสืบแล้ว ก็ไม่อนุญาตให้จำเลยสืบพยานของตนได้ แต่คดีนี้ศาลสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยก็มิได้มาศาล จึงมิใช่กรณีที่จะให้สืบพยานจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๐๕ วรรค ๓ (๑) แม้จำเลยจะได้ยื่นคำให้การและบัญชีระบุพยานไว้ ต้องถือว่าคดีเสร็จการพิจารณา ศาลพิพากษาไปได้ตามนัยฎีกาที่ ๑๓๑/๒๕๐๙
พิพากษายืน