คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่คู่ความทำสัญญายอมความกันใหม่นอกศาล แปลงหนี้จากสัญญายอมความเดิมที่ทำไว้ต่อศาล แต่ต่างไม่แสดงสัญญายอมใหม่ต่อศาล โจทก์ฟ้องอ้างว่าตามสัญญายอมใหม่จำเลยยอมขยายเวลาให้โจทก์ไถ่นาคืน ในพ.ศ. 2492 จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์ยอมมอบให้นาพิพาทเป็นสิทธิแก่จำเลยดังนี้โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ตามข้ออ้าง ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อต่อสู้ของจำเลยเพราะจำเลยมิได้ฟ้องแย้งหากโจกท์นำสืบไมสมฟ้องโจทก์ต้องแพ้คดี

ย่อยาว

เดิมโจทก์จำเลยเป็นความกันเรื่องขอไถ่ที่นาและได้ทำสัญญายอมความกันว่า โจทก์จะไถ่นาพิพาทจากจำเลยเป็นเงิน ๑,๙๐๐ บาทใน ๑๕ วัน และยอมเสียค่าป่วยการเป็นข้าวให้จำเลย ๖๐ หาบในเดือนมกราคม ๒๔๙๐ แต่ไม่ปรากฏว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาจนโจทก์มาฟ้องคดีนี้ ขอให้บังคับจำเลยยอมให้โจทก์ไถ่ที่นาได้ใน พ.ศ. ๒๔๙๒ เป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญายอมกันใหม่นอกศาล ฝ่ายจำเลยให้การว่าโจทก์ได้ทำสัญญายินยอมมอบที่นารายนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลย ๆ ได้ครอบครองมาปีเศษแล้ว ที่พิพาทเป็นทีมือเปล่า
ศาลจังหวัดน่านสั่งให้จำเลยนำสืบก่อนพิจารณาแล้วเห็นว่า คดียังฟังไม่ได้ว่า โจทก์เจตนาสละสิทธิแต่คดีฟังได้ว่าโจกท์ได้ทำสัญญายกที่พิพาทให้จำเลย จึงเป็นเรื่องจำเลยยอมรับชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ทีได้ตกลงกันไว้ตามสัญญายอม เป็นผลให้หนี้นั้นระงับตาม ป.ม.แพ่ง ม. ๓๒๑ โจทก์หมดสิทธิจะเรียกคืนนาพิพาท พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีาเห็นว่าประเด็นมีว่า จำเลยได้ตกลงแปลงหนี้จากสัญญายอมความที่ศาล ขยายเวลาการไ่ถทีนาจริงดั่งโจทก์กล่าวหรือไม่ ถ้าไม่จริงหรือโจทก์นำสืบไม่ได้โจทกืก็ต้องแพ้ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ได้ตกลงมอบนายรายนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ แก่จำเลย เพราะจำเลยมิได้ฟ้องแย้งให้ศาลพิจารณาและบังคับให้ข้อนี้
ส่วนข้อเท็จจริง ต่างนำพยานบุคคลมาสืบได้แย้งกันเห็นว่า ไม่สมเหตุผลด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย เรียกได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องเห็นพ้องกับศาลล่าง
พิพากษายืน

Share