แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
อาคารคลังพัสดุของโจทก์มีพื้นที่ 3,360 ตารางเมตร ส่วนที่ดินอีก 98,944ตารางเมตร เป็นพื้นที่ในส่วนที่โจทก์มิได้ใช้ปลูกสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆโดยอยู่กระจัดกระจายกันไปและมิใช่พื้นที่บริเวณต่อเนื่องอันจะใช้ไปด้วยกันกับอาคารคลังพัสดุ กรุงเทพมหานครจำเลยจะนำพื้นที่ดินที่โจทก์เช่ามาหักด้วยพื้นที่ที่โจทก์ใช้ก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างแล้วนำพื้นที่ส่วนที่เหลือมาประเมินรวมกับพื้นที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอาคารใดอาคารหนึ่งย่อมไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนใบแจ้งรายการประเมินของจำเลยที่ 1 เล่มที่ 55 เลขที่ 16ลงวันที่ 28 กรกฎาคม 2537 และใบแจ้งคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 เล่มที่ 15 เลขที่ 69ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2538 เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับคลังพัสดุจำนวนค่าภาษี1,802,659.62 บาท และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันคืนเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระคืนแก่โจทก์ครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การว่า การประเมินชอบด้วยเหตุผลและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือนและคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ในส่วนโรงเรือนที่เป็นคลังพัสดุ โดยให้ประเมินค่ารายปีเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลังพัสดุเนื้อที่ 2 ไร่ คิดค่ารายปีเป็นเงิน 845,666.20 บาท และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีส่วนที่เกินจากจำนวนที่ประเมินใหม่ทั้งหมดให้แก่โจทก์ภายในกำหนดสามเดือนนับแต่วันที่อ่านคำพิพากษานี้ ถ้าไม่คืนในกำหนดดังกล่าวให้ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันครบกำหนดสามเดือนในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางฟังมาโดยไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งเป็นอย่างอื่นนั้นได้ความว่า โรงเรือนพิพาทคือคลังพัสดุมีเนื้อที่ประมาณ 3,360 ตารางเมตร โจทก์พอใจที่จะให้จำเลยประเมินค่ารายปีเป็นเงิน845,666.20 บาท ซึ่งเป็นค่ารายปีที่สูงกว่าอัตราที่จำเลยประเมินสำหรับพื้นที่ที่ตั้งอาคารคลังพัสดุ จำเลยได้นำที่ดินว่างอีกจำนวน 98,944 ตารางเมตร มาประเมินเป็นที่ดินต่อเนื่องกับอาคารคลังพัสดุ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินว่างเปล่านั้นจะถือว่าเป็นที่ดินต่อเนื่องกับสิ่งปลูกสร้างคืออาคารคลังพัสดุที่จะประเมินรวมกันได้หรือไม่…
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 นั้น หมายความว่าที่ดินซึ่งปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ และบริเวณต่อเนื่องกันซึ่งตามปกติใช้ไปด้วยกันกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างนั้น ๆ กรณีของอาคารคลังพัสดุข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่ามีพื้นที่ 3,360 ตารางเมตร ส่วนที่ดินอีก 98,944 ตารางเมตร นั้น เป็นพื้นที่ในส่วนที่โจทก์มิได้ใช้ปลูกสร้างโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ได้พิจารณาแผนผังแสดงที่ตั้งคลังน้ำมันของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 94 และภาพถ่ายหมาย จ.1 แผ่นที่ 89ถึง 93 ที่แสดงถึงสิ่งก่อสร้างที่เป็นอาคารคลังสินค้าแล้ว จะเห็นได้ว่าพื้นที่ว่างที่มิได้ใช้ปลูกโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นอยู่กระจัดกระจายกันไปและมิใช่พื้นที่บริเวณต่อเนื่องกับอาคารคลังพัสดุอันจะเป็นที่ข้อที่แสดงให้เห็นว่าตามปกติใช้ไปด้วยกันกับอาคารคลังพัสดุดังนั้น ที่ดินในส่วนนี้ซึ่งมีเนื้อที่ 98,944 ตารางเมตร จึงมิใช่ที่ดินซึ่งใช้ต่อเนื่องกับอาคารคลังพัสดุ อันเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ และกรณีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินที่เป็นปัญหานี้เป็นที่ดินที่ต่อเนื่องกับโรงเรือนอื่นหรือไม่ จำเลยจะนำพื้นที่ดินที่โจทก์เช่ามาจากผู้ให้เช่าหักด้วยพื้นที่ที่โจทก์ใช้ก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง แล้วนำพื้นที่ส่วนที่เหลือมาประเมินรวมกับพื้นที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอาคารใดอาคารหนึ่งย่อมไม่ได้เพราะพื้นที่ส่วนที่เหลือจากการก่อสร้างโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอาจจะไม่ใช่ที่ดินต่อเนื่องกับโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่นำมารวมประเมินก็ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3650/2534ที่จำเลยอ้างมานั้น ข้อเท็จจริงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ เมื่อที่ดิน 98,944 ตารางเมตรมิใช่ส่วนที่ต่อเนื่องกับอาคารคลังพัสดุ การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 นำเอาพื้นที่ดังกล่าวมารวมกับพื้นที่ของอาคารคลังพัสดุแล้วประเมินเรียกเก็บภาษีจากโจทก์จึงเป็นการประเมินที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายคำวินิจฉัยชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ในส่วนนี้จึงเป็นการไม่ชอบไปด้วยศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน