แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กลุ่มคนชมรม ค. กระทำความผิดในคดีนี้ โดยบรรยายครบองค์ประกอบความผิดในแต่ละข้อหา จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) แล้ว โดยหาจำต้องระบุตัวบุคคลผู้ถูกใช้หรือลงมือกระทำความผิดไม่
ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 ที่ได้กระทำโดยมีอาวุธและโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปตามวรรคสอง ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ตาม ป.อ. มาตรา 321 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ส่วนความผิดตาม ป.อ. มาตรา 358 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น แม้จะได้ความว่าฝ่ายโจทก์ตกลงยอมความกับจำเลยที่ 2 แต่ไม่ปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้ตกลงให้ความผิดของจำเลยที่ 1 ระงับไปด้วย ความผิดของจำเลยที่ 1 จึงหาระงับไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215, 288, 289, 295, 296, 297, 298, 309, 358, 59, 80, 83, 84, 85, 87, 91 และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 1,824,210 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ไปจนกว่าจะชำระครบถ้วนแก่โจทก์ที่ 1
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 295, 296, 297, 298, 309 และ 358 ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การปฏิเสธ และให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งเจ็ดขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และโจทก์ที่ 3 และที่ 7 ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297 (8), 309, 358 ประกอบมาตรา 83, 84, 85 วรรคสอง เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 359,850 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2551 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 1 ในทุนทรัพย์ส่วนที่โจทก์ที่ 1 ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจังหวัดอุดรธานีจะจัดชุมนุมทางการเมืองที่บริเวณลานอเนกประสงค์ สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี โดยโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นแกนนำ วันเกิดเหตุเวลา 15.30 นาฬิกา จำเลยที่ 2 นำกลุ่มคนประมาณ 1,000 คน ไปขับไล่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้ออกจากที่ชุมนุม กลุ่มคนที่จำเลยที่ 2 พาไปดังกล่าวได้ใช้อาวุธทำร้ายร่างกายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ได้รับบาดเจ็บ และทรัพย์สินที่โจทก์ที่ 1 ใช้ในการจัดชุมนุมได้รับความเสียหาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า คำฟ้องข้อ 2.1 2.2 และ 2.3 โจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดหรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้อง โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กลุ่มคนชมรมคนรักอุดรกระทำความผิดในคดีนี้ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดในแต่ละข้อหาแล้ว จึงเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แล้ว โจทก์หาจำต้องระบุตัวบุคคลผู้ถูกใช้หรือลงมือกระทำความผิดดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไปว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กับพวกต้องการให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยกเลิกการชุมนุมทางการเมืองที่บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคมซึ่งได้รับอนุญาตจากทางราชการแล้ว การที่จำเลยที่ 1 กับพวกข่มขืนใจกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ให้จัดชุมนุมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองและในที่สุดพวกของจำเลยที่ 1 เข้าไปทุบตีทำร้ายร่างกายและรื้อเวทีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยมีไม้ เหล็ก หนังสติ๊ก และสิ่งของอื่นเป็นอาวุธ จนในที่สุดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องเลิกการชุมนุม การกระทำของจำเลยที่ 1 กับพวกจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และเหตุที่เกิดขึ้นหาได้เกิดจากฝ่ายกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสมัครใจทะเลาะวิวาทกับฝ่ายจำเลยที่ 1 ตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาดังได้วินิจฉัยแล้วข้างต้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ต่อไปว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ มาตรา 358 ของจำเลยที่ 1 ระงับไปแล้วเพราะมีการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) จริงหรือไม่ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 นั้น เมื่อเป็นการกระทำความผิดโดยมีอาวุธและโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เป็นความผิดตามวรรคสองของมาตราดังกล่าว จึงไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวหรือความผิดอันยอมความได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 321 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่อาจระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ได้ ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้นั้น แม้จะได้ความว่าฝ่ายโจทก์ตกลงยอมความกับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ แต่ไม่ปรากฏว่าฝ่ายโจทก์ได้ตกลงให้ความผิดของจำเลยที่ 1 ระงับไปด้วย ความผิดของจำเลยที่ 1 จึงหาระงับไปไม่
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 309 วรรคสอง, 358 ประกอบมาตรา 83, 84, 85 วรรคสอง ให้ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ลดโทษหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 2 ปี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4