คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15617/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยของต้นเงินค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินเพิ่มของต้นเงินค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 101/2549 นั้น เมื่อปรากฏว่าวันที่ 6 มีนาคม 2557 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันและได้วินิจฉัยเรื่องพิพาทที่เกิดขึ้นคราวเดียวกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2557 ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 101/2549 ของจำเลยที่ 1 เฉพาะในเรื่องค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเสียแล้ว จึงมีผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนั้น ปัญหาที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยของต้นเงินค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินเพิ่มของต้นเงินค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
สำหรับที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของต้นเงินค่าจ้างตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 101/2549 นั้น เมื่อ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัตินี้ และลูกจ้างมีความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน…” ไว้เช่นนี้ ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเรียกร้องเงินที่มีสิทธิจะได้รับจากนายจ้างตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ได้ เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานดำเนินการสอบสวนและมีคำสั่งตามมาตรา 124 และเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งแล้วหากนายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจก็สามารถนำคดีไปสู่ศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ศาลแรงงานพิจารณาอีกครั้งหนึ่งได้ตามมาตรา 125 เมื่อปรากฏว่ามูลเหตุในการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างอ้างว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการอ้างมูลเหตุแห่งข้อพิพาทอย่างเดียวกัน โจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องขอให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของค่าจ้างไปพร้อมกันกับที่ขอให้จ่ายค่าจ้างได้ตั้งแต่ชั้นยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน การที่โจทก์ใช้แบบฟอร์มคำร้องที่มีข้อความว่า ขอให้นายจ้างจ่ายเงินค่าจ้าง ซึ่งในข้อ 7.17 ที่มีข้อความระบุว่า “ดอกเบี้ย/เงินเพิ่ม เป็นเงิน…บาท (…)” โดยไม่ได้ขีดฆ่าว่าไม่ประสงค์ให้จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่ง โดยคำสั่งดังกล่าวไม่ได้สั่งให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มจากต้นเงินค่าจ้างแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์เองก็ทราบคำสั่งนั้นแล้วและไม่ได้นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด คงมีเพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลางโดยฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 พร้อมวางเงินที่จะต้องชำระตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลางแล้ว ซึ่งโจทก์ในฐานะจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน คำสั่งพนักงานตรวจแรงงานที่ 101/2549 จึงเป็นที่สุดสำหรับโจทก์ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสอง ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของต้นเงินค่าจ้างนอกเหนือจากคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งถึงที่สุดไปแล้วได้อีก
ในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยนั้น แม้คำฟ้องส่วนนี้เป็นการฟ้องเรียกร้องตามสิทธิในมาตรา 49 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 อันมิใช่สิทธิได้รับเงินตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ที่โจทก์จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งได้ และพนักงานตรวจแรงงานไม่มีอำนาจดำเนินการและมีคำสั่งตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 123 และมาตรา 125 แม้โจทก์จะมีอำนาจฟ้องได้โดยตรงต่อศาลแรงงานและศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนนี้ได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏต่อมาว่าเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าว ซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันและได้วินิจฉัยเรื่องพิพาทที่เกิดคราวเดียวกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2557 ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์เสียแล้ว ดังนั้น จึงมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องแก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จ่ายดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าชดเชย 6,875,800 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,283,474 บาท ค่าจ้าง 779,256 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 458,380 บาท นับแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 เงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลาเจ็ดวันของค่าจ้าง 779,256 บาท และของค่าชดเชย 6,875,800 บาท นับแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 13,751,600 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง กับให้จำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 4 จ่ายเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวเป็นเงิน 3,632,955.79 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 4 โดยคณะกรรมการกองทุนเฉพาะส่วนของนายจ้างแจ้งการสิ้นสุดสมาชิกภาพของโจทก์ในกรณีโจทก์สิ้นสุดการทำงานด้วยเหตุอื่น และครบเกษียณอายุการทำงานกับนายจ้าง พร้อมข้อมูลและเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วนและสมบูรณ์แก่บริษัทจัดการตามที่บริษัทจัดการกำหนด โดยจำนวนเงินไม่น้อยกว่าตามคำฟ้องเพื่อจ่ายเงินให้แก่โจทก์ ทั้งนี้ให้ถือคำพิพากษานี้แทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 4 รวมทั้งคณะกรรมการกองทุนเฉพาะส่วนของนายจ้างในกรณีที่แสดงเจตนาได้ ยกคำขออื่นเกี่ยวกับจำเลยที่ 4 และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังมาและที่คู่ความไม่โต้แย้งกันว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2522 โจทก์เริ่มทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายการเงิน ต่อมามีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฝ่าย ครั้งสุดท้ายทำงานตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 กรรมการบริหารของบริษัทซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ กับบริษัทมีเดียลิงค์ จำกัด และบริษัทซีวีดี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทในเครือนี้ด้วย นายประสาร เป็นประธานกรรมการบริษัทแม่และกลุ่มบริษัทในเครือดังกล่าว จำเลยที่ 1 ระบุในทะเบียนลูกจ้างว่าโจทก์มีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้รับค่าจ้างจากจำเลยที่ 1 เพียงบริษัทเดียว จำเลยที่ 1 นำส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ 4 ให้แก่โจทก์ ต่อมาวันที่ 28 มีนาคม 2549 โจทก์ทำสัญญาขายหุ้นทั้งหมดของบริษัทซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ทั้งที่ถือไว้เองและให้บุคคลอื่นถือไว้ในนามของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามสัญญาซื้อขายหุ้นสองฉบับ สัญญาข้อ 3 ของแต่ละฉบับระบุไว้เหมือนกันว่า ผู้ขาย (โจทก์)เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทและบริษัทในเครือทั้งหมดของบริษัทจนถึงวันทำบันทึกนี้เป็นเวลาประมาณ 18 ปี เมื่อผู้ขายขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท ผู้ขายไม่ประสงค์จะเกี่ยวข้องกับกิจการของบริษัทอีกต่อไป จึงขอพ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการในบริษัทและบริษัทในเครือทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2549 เป็นต้นไป โดยคงไว้เป็นพนักงานของบริษัทซีวีดี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (จำเลยที่ 1) โดยผู้ขายยินดีลดเงินเดือนและหรือค่าตอบแทนตามที่คณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทจะกำหนดและเห็นสมควร ในระยะเวลาทำงานที่คณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทจะพิจารณา ทั้งนี้ผู้ขายขอให้ผู้ซื้อ(จำเลยที่ 2 และที่ 3) เสนอต่อคณะกรรมการชุดใหม่ของบริษัทให้พิจารณาจ่ายค่าชดเชยในการที่ผู้ขายดำรงตำแหน่งดังกล่าว ซึ่ง
ผู้ซื้อรับที่จะดำเนินการให้ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2549 โจทก์ทำหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 1 วันที่ 11 เมษายน 2549 จำเลยที่ 1 จัดประชุมคณะกรรมการของบริษัทแล้วแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการบริหารมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 และนำไปจดทะเบียนการแต่งตั้งกรรมการต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โจทก์จึงไม่ได้มีตำแหน่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป วันที่ 28 เมษายน 2549 นายประสารมีหนังสือแจ้งเรื่องสถานภาพการเป็นพนักงานต่อโจทก์ว่าโจทก์พ้นตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตามที่ขอลาออก ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบใดๆ ในบริษัทอีกต่อไป ให้โจทก์ส่งมอบทรัพย์สินของบริษัทที่ครอบครองคืน และแต่งตั้งให้โจทก์เป็นที่ปรึกษาของประธานกรรมการบริษัท มีหน้าที่ให้คำปรึกษาตามที่ประธานกรรมการจะร้องขอโดยจะนัดหมายเป็นคราวๆ ไป เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2548 คณะอนุกรรมการสรรหาและกำหนดค่าตอบแทนประชุมและมีมติเอกฉันท์กำหนดค่าตอบแทนตำแหน่งที่ปรึกษาประธานกรรมการให้แก่โจทก์เดือนละ 100,000 บาท โดยให้จ่ายค่าตอบแทนดังกล่าวนับแต่วันที่โจทก์ลาออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ซึ่งคณะอนุกรรมการดังกล่าวจะนำเสนอต่อคณะกรรมการของบริษัทพิจารณาอนุมัติและจะได้แจ้งให้โจทก์ทราบต่อไป นับแต่เดือนเมษายน 2549 จำเลยที่ 1 ไม่ได้จ่ายค่าจ้างหรือค่าตอบแทนให้แก่โจทก์ โดยก่อนการจัดประชุมกำหนดค่าตอบแทนแก่โจทก์ดังกล่าว ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2549 โจทก์กรอกแบบฟอร์มคำร้องยื่นต่อพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ขอให้ออกคำสั่งบังคับนายจ้างจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี โดยไม่ได้ขีดฆ่าข้อความที่ระบุในแบบฟอร์มว่าขอให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยและเงินเพิ่มออกเสีย วันที่ 25 กรกฎาคม 2549 พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งที่ 101/2549 ว่าให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 นายประสาร และนางมลฤดี ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อผูกพันจำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้าง 779,256 บาท ค่าชดเชย 6,875,800 บาท ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1,283,474 บาท และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี 458,380 บาท รวมเป็นเงิน 9,396,910 บาท ให้แก่โจทก์ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่ง โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2549 วันที่ 25 สิงหาคม 2549 จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลาง โดยฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 พร้อมกับนำเงินตามจำนวนที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จ่ายแก่โจทก์มาวางต่อศาล วันที่ 25 สิงหาคม 2550 ศาลแรงงานกลางมีคำพิพากษาว่าคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานถูกต้องแล้ว กรณีไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จึงพิพากษายกฟ้อง ตามหลักฐานการวางเงิน คำให้การและคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 4976/2550 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ขณะนี้คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ต่อมาวันที่ 22 พฤศจิกายน 2550 โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้อ้างว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ใช้สิทธิไม่สุจริตกลั่นแกล้งเลิกจ้าง และจงใจไม่จ่ายค่าจ้างกับค่าชดเชย จึงเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จ่ายเงินเพิ่มอัตราร้อยละ 15 ทุกระยะเวลาเจ็ดวันของค่าจ้างและค่าชดเชย ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของเงินทุกประเภทที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จ่าย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ด้วย ทั้งเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันจ่ายเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์จากเงินดังกล่าว โจทก์เป็นสมาชิกของกองทุนจำเลยที่ 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด เป็นบริษัทจัดการของกองทุนจำเลยที่ 4 แล้วศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เมื่อแบบฟอร์มคำร้องที่ยื่นต่อพนักงานตรวจแรงงานขอให้นายจ้างจ่ายเงิน ข้อ 7.13 ระบุว่า “ดอกเบี้ย / เงินเพิ่ม เป็นเงิน…บาท (…)” โจทก์ไม่ได้เขียนข้อความเพิ่มแสดงถึงเจตนาโจทก์ว่าไม่ประสงค์เรียกร้องดอกเบี้ยและเงินเพิ่ม การที่โจทก์มาฟ้องเรียกเงินเพิ่มและดอกเบี้ยรวมทั้งค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมเป็นการเพิ่มเติมจำนวนเงินนอกเหนือจากที่พนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่ง และนอกเหนือจากคำร้องที่โจทก์ยื่นต่อพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์ก็ไม่โต้แย้งคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานด้วยการนำคดีไปสู่ศาล คำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานจึงเป็นที่สุดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 และการฟ้องร้องดำเนินคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีนี้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 มีฐานะเป็นตัวแทน ไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่จ่ายเงินสะสม เงินสมทบ และผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยที่ 4 มีหน้าที่จ่ายเงินดังกล่าวแก่ลูกจ้างเมื่อลูกจ้างสิ้นสุดสมาชิกภาพจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจำเลยที่ 4 ซึ่งมีหลายกรณี ดั่งเช่นที่ปรากฏตามข้อบังคับของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กรณีสิ้นสุดการทำงานลงด้วยเหตุอื่น หรือกรณีครบเกษียณอายุการทำงานกับนายจ้าง เป็นต้น และจำเลยที่ 4 จะจ่ายเงินนี้ให้แก่ลูกจ้างได้ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการกองทุนเฉพาะส่วนของนายจ้างแจ้งเหตุการสิ้นสุดสมาชิกภาพต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนจำเลยที่ 4 ให้ทราบก่อน คณะกรรมการดังกล่าวมีหนังสือแจ้งต่อบริษัทจัดการกองทุนจำเลยที่ 4 ว่า ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลิกจ้าง ซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้การว่าเป็นการแจ้งถึงสาเหตุการสิ้นสุดสมาชิกภาพเนื่องจากเกษียณอายุการทำงาน โดยโจทก์เกิดวันที่ 1 มกราคม 2489 ครบอายุ 60 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2548 ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยที่ 1 หมวดที่ 10 ข้อ 4 ระบุว่าพนักงานที่ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับกรรมการหรือผู้อำนวยการฝ่ายขึ้นไป กำหนดการเกษียณอายุไว้ที่ 55 ปี ถึง 60 ปี โดยนับถึงวันที่ 31 ธันวาคมของปีที่พนักงานผู้นั้นครบเกษียณอายุ จึงพอถือได้ว่าคณะกรรมการกองทุนเฉพาะส่วนของนายจ้างแจ้งการสิ้นสุดสมาชิกภาพของโจทก์ต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำผิดที่จะเป็นเหตุตัดสิทธิไม่ให้ได้รับเงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวตามข้อบังคับของกองทุนจำเลยที่ 4 บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้ จำกัด ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนจำเลยที่ 4 มีหน้าที่ตามข้อบังคับกองทุนที่จะจ่ายเงินสะสม เงินสมทบและผลประโยชน์ของเงินดังกล่าวตามฟ้องแก่โจทก์ จึงเห็นสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความที่จะพิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 52
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ให้รับผิดในเงินเพิ่ม ดอกเบี้ย และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยของต้นเงินค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินเพิ่มของต้นเงินค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 101/2549 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 นั้น เมื่อปรากฏว่าวันที่ 6 มีนาคม 2557 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันและได้วินิจฉัยเรื่องพิพาทที่เกิดคราวเดียวกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2557 ท้ายคำร้องของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฉบับลงวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ให้เพิกถอนคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 101/2549 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ของจำเลยที่ 1 เฉพาะในเรื่องค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีเสียแล้ว จึงมีผลเท่ากับว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว ดังนั้น ปัญหาว่าโจทก์จะมีสิทธิฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยของต้นเงินค่าชดเชย ค่าจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินเพิ่มของต้นเงินค่าชดเชยตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย
สำหรับที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของต้นเงินค่าจ้างตามคำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 101/2549 ลงวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 นั้น เมื่อพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 123 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่นายจ้างฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกี่ยวกับสิทธิได้รับเงินอย่างหนึ่งอย่างใดตามพระราชบัญญัตินี้ และลูกจ้างมีความประสงค์ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน…”ไว้ เช่นนี้ ลูกจ้างสามารถใช้สิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเรียกร้องเงินที่มีสิทธิจะได้รับจากนายจ้างตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานดำเนินการสอบสวนและมีคำสั่งตามมาตรา 124 และเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งแล้วหากนายจ้างหรือลูกจ้างไม่พอใจก็สามารถนำคดีไปสู่ศาลภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ศาลแรงงานพิจารณาอีกครั้งหนึ่งได้ตามมาตรา 125 เมื่อปรากฏว่ามูลเหตุในการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานและการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างอ้างว่านายจ้างค้างจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ซึ่งเป็นการอ้างมูลเหตุแห่งข้อพิพาทอย่างเดียวกันโจทก์จึงชอบที่จะใช้สิทธิเรียกร้องขอให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของค่าจ้างไปพร้อมกันกับที่ขอให้จ่ายค่าจ้างได้ตั้งแต่ชั้นยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน การที่โจทก์ใช้แบบฟอร์มคำร้องที่มีข้อความว่า ขอให้นายจ้างจ่ายเงินค่าจ้าง ซึ่งในข้อ 7.17 ที่มีข้อความระบุว่า”ดอกเบี้ย/เงินเพิ่ม เป็นเงิน…บาท (…)” โดยไม่ได้ขีดฆ่าว่าไม่ประสงค์ให้จ่ายดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อพนักงานตรวจแรงงานมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 จ่ายค่าจ้างแก่โจทก์ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าได้ทราบคำสั่ง โดยคำสั่งดังกล่าวไม่ได้สั่งให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มจากต้นเงินค่าจ้างแก่โจทก์ ซึ่งโจทก์เองก็ทราบคำสั่งนั้นแล้วและไม่ได้นำคดีไปสู่ศาลแรงงานภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดคงมีเพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นโจทก์ฟ้องขอเพิกถอนคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลางโดยฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 พร้อมกับวางเงินที่จะต้องชำระตามคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงานต่อศาลแรงงานกลางแล้ว ซึ่งโจทก์ในฐานะจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวก็มิได้โต้แย้งคำสั่งของพนักงานตรวจแรงงาน คำสั่งพนักงานตรวจแรงงาน กลุ่มงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 ที่ 101/2549 จึงเป็นที่สุดสำหรับโจทก์ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 125 วรรคสอง ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจฟ้องเรียกร้องดอกเบี้ยและเงินเพิ่มของต้นเงินค่าจ้างนอกเหนือจากคำสั่งพนักงานตรวจแรงงานซึ่งถึงที่สุดไปแล้วได้อีก โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องในส่วนนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้น ในส่วนที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมพร้อมดอกเบี้ยนั้น แม้คำฟ้องส่วนนี้เป็นการฟ้องเรียกร้องตามสิทธิในมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 อันมิใช่สิทธิได้รับเงินตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541ที่โจทก์จะดำเนินการยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานเพื่อให้มีคำสั่งได้ และพนักงานตรวจแรงงานไม่มีอำนาจดำเนินการและมีคำสั่งตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 123 และมาตรา 125 ได้ ซึ่งแม้โจทก์จะมีอำนาจฟ้องได้โดยตรงต่อศาลแรงงานและศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีส่วนนี้ได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏต่อมาว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2557 ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาในคดีที่จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องพนักงานตรวจแรงงานเป็นจำเลยที่ 1 และโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีดังกล่าวซึ่งเป็นคู่ความเดียวกันและได้วินิจฉัยเรื่องพิพาทที่เกิดคราวเดียวกันตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2149/2557 ท้ายคำร้องของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฉบับลงวันที่ 5 สิงหาคม 2557 ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เลิกจ้างโจทก์เสียแล้ว ดังนั้น จึงมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามฟ้องแก่โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีในส่วนนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของโจทก์ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกันและไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน

Share