คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2542/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถของโจทก์และรถของจำเลยต่างแล่นเร็วจะสวนกันบริเวณทางโค้งโดยรถของโจทก์อยู่โค้งด้านนอก แต่รถของโจทก์แล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้าไปชนกับรถของจำเลย ซึ่งแล่นอยู่ในเส้นทางของตนโดยเปิดไฟหน้าซ้ายข้างเดียว ถือได้ว่าเหตุที่รถชนกันเป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่ายโดยคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดความประมาทมากกว่า ค่าเสียหายของโจทก์จึงตกเป็นพับ
ผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บและทายาทของผู้โดยสารที่เสียชีวิต มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากฝ่ายโจทก์ผู้กระทำละเมิดโดยตรง การที่จำเลยจ่ายค่าเสียหายไป โดยไม่มีกฎหมายให้สิทธิที่จะเรียกคืนจากผู้กระทำละเมิด จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่จ่ายไปเองจากโจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยประกอบกิจการเดินรถโดยสารประจำทาง เมื่อวันที่ 26พฤษภาคม 2517 เวลาประมาณ 19.30 นาฬิกา นายบุญช่วย มั่นโพนทอง ลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถโดยสารด้วยความประมาท โดยขับรถเร็วกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดและขับล้ำเส้นแบ่งกึ่งกลางถนนชนรถโดยสารของโจทก์ซึ่งแล่นส่วนทางมาเป็นเหตุให้มีคนตาย และบาดเจ็บ รถของโจทก์เสียหายและโจทก์ต้องขาดผลประโยชน์ในการใช้รถรับส่งคนโดยสารขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินทั้งสิ้น 207,443 บาท 45 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เหตุรถชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของคนขับรถของโจทก์ โดยรถของโจทก์แล่นเร็วและล้ำเข้าไปในเส้นทางเดินรถของจำเลย รถของจำเลยเสียหายและจำเลยขาดผลประโยชน์ในการใช้รถ กับจำเลยได้จ่ายเงินให้แก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บและตาย ขอเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น 287,370 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า คนขับรถของจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ค่าเสียหายของรถจำเลยมีจำนวนไม่ถึงตามคำให้การและฟ้องแย้ง เงินที่จำเลยจ่ายแก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บหรือตายนั้น โจทก์ไม่รู้เห็นด้วย จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาจากโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถของทั้งสองฝ่ายต่างขับรถผ่านทางโค้งด้วยความเร็วโดยรถของโจทก์แล่นล้ำเส้นกึ่งกลางถนน ส่วนรถของจำเลยแล่นอยู่ในเส้นทางของตนแต่เปิดไฟหน้าซ้ายข้างเดียว เป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน แล้ววินิจฉัยว่าถือได้ว่าเหตุที่รถทั้งสองคันชนกันเป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย และแม้รถของจำเลยจะเปิดไฟหน้าข้างซ้ายเพียงดวงเดียวทำให้คนขับรถของโจทก์เข้าใจผิดว่าเป็นรถจักรยานยนต์ขับสวนมาจึงหักหลบไม่ทันแต่หากคนขับรถของโจทก์ใช้ความระมัดระวังขับรถผ่านทางโค้งในเส้นทางของตนแล้ว เหตุชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ต้องถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายที่ ก่อให้เกิดความประมาทมากกว่า ค่าเสียหายของโจทก์จึงต้องตกเป็นพับจะเรียกร้องจากจำเลยไม่ได้ ส่วนค่าเสียหายของฝ่ายจำเลยนั้นให้โจทก์รับผิดสองในสามส่วน

สำหรับค่าเสียหายซึ่งจำเลยจ่ายแก่ผู้โดยสารที่บาดเจ็บและถึงแก่ความตายนั้น กรณีเป็นเรื่องผู้ขับรถยนต์โดยสารของโจทก์กระทำละเมิดต่อผู้โดยสารตรงผู้ที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจึงได้แก่ผู้ที่ถูกกระทำละเมิด คือผู้โดยสารที่ได้รับบาดเจ็บและทายาทของผู้โดยสารที่เสียชีวิต ไม่มีกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้จ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้ถูกละเมิดที่จะเรียกค่าเสียหายนั้นคืนจากผู้กระทำละเมิด ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ของการรับช่วงสิทธิหรือในแง่ของสิทธิรับขน ค่าเสียหายส่วนนี้จำเลยไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอากับโจทก์

ส่วนค่าเสียหายสำหรับรถโดยสารของจำเลยจะต้องคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราร้อยละ 10 อย่างเดียวกับที่โจทก์นำสืบ จำเลยซื้อรถมาราคา 150,000บาท ใช้มาแล้ว 2 ปี จึงมีราคา 120,000 บาท หักเงินที่ขายซากรถเป็นจำนวน5,000 บาทออกเหลือราคารถ 115,000 บาท สำหรับเงินค่าขาดผลประโยชน์คิดให้ตามฟ้องแย้งเป็นเงิน 63,400 บาท รวมเป็นค่าเสียหายของจำเลยทั้งสิ้น178,400 บาท โจทก์ต้องรับผิดสองในสามส่วน จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 118,933 บาท

พิพากษาแก้ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 118,933 บาท ให้โจทก์ใช้ค่าธรรมเนียมเท่าที่ชนะทั้งสามศาลแก่จำเลย ค่าทนายความให้เป็นพับนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share