คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 286 เป็นข้อยกเว้นความรับผิดแห่งการบังคับคดีจะต้องตีความโดยเคร่งครัด การที่การรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งก่อตั้งเป็นนิติบุคคลตาม พ.ร.บ. การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2494 ได้แยกออกจากรัฐบาลเป็นเอกเทศต่างหาก เมื่อจำเลยเป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อนหรือลดขั้นเงินเดือน และรับรายได้เป็นเดือนจากงบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทย มิใช่จากเงินจัดสรรงบประมาณเหมือนข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาล จำเลยจึงหาใช่ลูกจ้างของรัฐบาลตามความหมายของป.วิ.พ. มาตรา 286 (2) ไม่ เมื่อจำเลยมิใช่ลูกจ้างของรัฐบาล สิทธิเรียกร้องในเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ของจำเลยที่มีอยู่ต่อการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้เป็นนายจ้าง จึงตกอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามป.วิ.พ. มาตรา 286 (3)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ยิมจำนวน ๖๓๔,๙๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยขอให้อายัดเงินสงเคราะห์ที่จำเลยมีสิทธิได้รับจากการรถไฟแห่ง ประเทศไทย เนื่องจากจำเลยได้พ้นจากการเป็นพนักงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าว ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ และของต้นเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
ต่อมาปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิได้รับเงินบำนาญจากการรถไฟแห่งประเทศไทย เดือนละ ๑๒,๐๐๐ บาท เศษและการรถไฟแห่งประเทศไทยได้หักเงินบำนาญของจำเลยไว้เริ่มตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๔๑ เป็นเงิน ๘,๑๙๔.๘๔ บาทและในเดือนกันยายน ถึง เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๑ หักไว้เดือนละ ๘,๐๗๔.๘๔ บาท ทุกเดือน เป็นต้นมา ส่งมาตามหมายอายัดของศาลชั้นต้น โดยจะจ่ายเงินแก่จำเลยเดือนละประมาณ ๔,๐๐๐ บาท เศษ
จำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๔๑ ขอให้เพิกถอนหมายอายัดเงินสงเคราะห์ประเภทบำนาญของจำเลยที่มีต่อการรถไฟแห่งประเทศไทย อ้างว่าเงินบำนาญของจำเลยไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า การรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยเป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงมิใช่ลูกจ้างของรัฐบาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ (๒) ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทยจะถือได้หรือไม่ว่าเป็นลูกจ้างของรัฐบาลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ (๒) เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖ เป็นข้อยกเว้นความรับผิดแห่งการบังคับคดีจะต้องตีความโดยเคร่งครัด จำเลยในคดีนี้เป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ไม่ขึ้นอยู่ในกระทรวงทบวงกรมใดของรัฐบาล มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ผู้ว่าการมีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อนขั้น และลดขั้นเงินเดือนของพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่เพียงกำกับโดยทั่วไปเท่านั้น หามีอำนาจร่วมจัดกิจการและควบคุมดูแลโดยตรงไม่ นอกจากนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยยังจัดทำงบประมาณประจำปีของตนเอง ไมรวมอยู่ในงบประมาณแผ่นดิน และยังมีกฎหมายแยกกิจการการรถไฟแห่งประเทศไทยออกเป็นนิติบุคคลต่างหาก ย่อมแสดงอยู่ในตัวว่าเป็นการแยกการรถไฟแห่งประเทศไทยออกจากรัฐบาลเป็นเอกเทศต่างหาก หากรัฐประสงค์จะคุ้มครองการรถไฟแห่งประเทศไทยและลูกจ้างเป็นกรณีพิเศษก็จะต้องบัญญัติกฎหมายไว้โดยชัดแจ้ง จำเลยเป็นลูกจ้างของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทยมีอำนาจแต่งตั้ง ถอดถอน เลื่อนหรือลดขั้นเงินเดือน และรับรายได้เป็นเดือนจากงบประมาณของการรถไฟแห่งประเทศไทย มิใช่จากเงินจัดสรรงบประมาณเหมือนข้าราชการและลูกจ้างของรัฐบาล จำเลยจึงหาใช่ลูกจ้างของรัฐบาลตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๘๖(๒) ไม่ เมื่อจำเลยมิใช่ลูกจ้างของรัฐบาล สิทธิเรียกร้องในเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) ของจำเลยที่มีอยู่ต่อการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้เป็นนายจ้าง จึงตกอยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๖(๓) ที่จำเลยฎีกา จำเลยได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เพียงเดือนละ ๔,๑๐๐ บาท ถัวเฉลี่ยแล้วจะได้รับวันละ ๑๓๐ บาท ซึ่งไม่พอแก่การครองชีพในปัจจุบันขอให้ศาลเพิ่มเงินบำนาญส่วนที่จำเลยได้รับให้สูงขึ้นนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ถึง ๖๐๐,๐๐๐ บาท และยอดเงินที่ถูกอายัดเพียงเดือนละ ๘,๐๗๔.๘๔ เท่านั้น เมื่อพิเคราะห์ตามพฤติการณ์แห่งคดีมาพิจารณาประกอบกับฐานะทางครอบครัวของจำเลยแล้ว การอายัดเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เพียงเดือนละ ๘,๐๗๔.๘๔ บาท นับว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

นางพิมลรัตน์ วรรธนะหทัย ผู้ช่วย
น.ส.อังคณา สินเกษม ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายชีพ จุลมนต์ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share