แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สมาชิกให้ช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย หาได้เป็นไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางการค้าหรือแสวงหากำไรแต่อย่างใดไม่ ทั้งพระราชบัญญัตินี้ยังมีลักษณะในการควบคุมการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และมีบทกำหนดโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนเพื่อป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย การที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯร่วมกันหักเงินร้อยละ 4 จากเงินสงเคราะห์ที่สมาคมเรียกเก็บจากสมาชิกเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งตาย ในแต่ละครั้งแล้วนำมาจัดสรรแบ่งกันเป็นประโยชน์ส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เงินส่วนนั้นควรเป็นประโยชน์แก่ญาติของสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 หาได้รู้สำนึกถึงความผิดของตนไม่โดยให้ถ้อยคำแก่พนักงานคุมประพฤติว่าไม่ประสงค์จะชดใช้เงินคืนแก่สมาคม พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งเจ็ดซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์วัดแหลมไผ่ ร่วมกันรับค่าจ้างหรือเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวรวมเป็นเงิน 137,950 บาท โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 มาตรา 28, 56 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเจ็ดมีความผิดตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 มาตรา 28 (ที่ถูก มาตรา 28 วรรคหนึ่ง),56 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 4 เดือน จำเลยทั้งเจ็ดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ2 เดือน
จำเลยทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ว่า สมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลยดังกล่าวหรือไม่เห็นว่า วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 นั้น ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการที่สมาชิกจะช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย หาได้เป็นไปเพื่อให้ผู้ใดผู้หนึ่งแสวงหาประโยชน์ในทางการค้าหรือแสวงหากำไรแต่อย่างใดไม่ พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2517 จึงมีลักษณะสำคัญประการหนึ่งในการควบคุมการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และมีบทกำหนดโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนเพื่อป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์จากกิจการนี้โดยมิชอบ การที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์วัดแหลมไผ่ ร่วมกันรับค่าจ้างหรือเงินหรือประโยชน์อย่างอื่นทำนองเดียวกันจากสมาคมไปเป็นประโยชน์ส่วนตน โดยตามรายงานการสืบเสาะและพินิจซึ่งฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านได้ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 หักเงินจำนวนร้อยละ 4 จากเงินสงเคราะห์ที่สมาคมเรียกเก็บจากสมาชิก เมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตายในแต่ละครั้ง แล้วนำมาจัดสรรแบ่งกัน ทั้ง ๆ ที่เงินสงเคราะห์ในส่วนนั้นควรจะตกเป็นประโยชน์แก่ญาติของสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย ซึ่งโดยปกติก็เป็นผู้ที่มีรายได้น้อยในชนบทและเป็นผู้ที่ค่อนข้างยากไร้ในสังคมอยู่แล้ว อีกทั้งหลังเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ก็หาได้รู้สำนึกถึงความผิดของตนกลับให้ถ้อยคำต่อพนักงานคุมประพฤติว่าไม่ประสงค์จะชดใช้เงินที่ได้รับไปคืนให้แก่สมาคม เพิ่งจะมาชดใช้เงินคืนให้แก่สมาคมหลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำพิพากษาไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยทั้งเจ็ดแล้ว ปรากฏตามบันทึกการใช้เงินคืนแนบท้ายฎีกา แสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ไม่มีเจตนาจะชดใช้เงินคืนมาตั้งแต่แรก พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 จึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลล่างทั้งสองใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 นั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน