คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้โจทก์เป็นผู้ได้รับประโยชน์ในการนำใบกำกับภาษีซื้อไปใช้เครดิตภาษี ภาระการพิสูจน์ว่าใบกำกับภาษีซื้อออกโดยถูกต้องแท้จริงและชอบด้วยกฏหมาย จึงตกอยู่แก่โจทก์ ร้าน ก. และบริษัท ท. ออกใบกำกับภาษีซื้อให้แก่โจทก์โดยไม่มีการขายสินค้า จึงถือว่าใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ถูกต้องโจทก์จึงไม่อาจนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีนั้น มาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/5(5)เมื่อโจทก์นำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาใช้ จึงต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษี ดังที่กำหนดไว้ในมาตรา 89(7) และเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โดยให้โจทก์ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนพฤศจิกายน 2535 พร้อมทั้งเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 663,154.15 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างและจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม2535 ต่อมาโจทก์นำใบกำกับภาษีซื้อที่ออกโดยร้านโกเหลี่ยง จำนวน2 ฉบับ และบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด จำนวน 7 ฉบับซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายคิดเป็นเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 206,590.08 บาท ไปใช้เครดิตภาษีซื้อในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนภาษีพฤศจิกายน2535 ภายหลังคณะกรรมการตรวจสอบและดำเนินคดีอาญากับผู้ทำลายระบบภาษีอากร (ตสอ.) ได้รับข้อมูลว่ามีกลุ่มบุคคลออกใบกำกับภาษีโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่ได้มีการขายสินค้าจริง จึงดำเนินการตรวจสอบพบว่าโจทก์เป็นผู้ใช้ใบกำกับภาษีดังกล่าวแล้วข้างต้นรายหนึ่งด้วย เจ้าพนักงานประเมินจึงทำการประเมินเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับเดือนภาษีพฤศจิกายน 2535 พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มคิดคำนวณถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 รวมเป็นเงิน663,154.15 บาท ต่อโจทก์ โจทก์ยื่นอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์ โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ซื้อสินค้าจากร้านโกเหลี่ยง และบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด ตามที่ได้ออกใบกำกับภาษีจริงหรือไม่ เห็นว่า ปกติการสั่งซื้อสินค้า ฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อจะต้องติดต่อตกลงกันในรายละเอียดของสินค้า ราคาของสินค้าการส่งมอบสินค้า ตลอดจนวิธีการชำระราคาสินค้า ยิ่งสินค้ามีปริมาณมากหรือสินค้าคิดเป็นเงินจำนวนมากคู่สัญญาก็มักจะทำหลักฐานหรือสัญญาซื้อขายกันไว้เป็นสำคัญอันเป็นปกติวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจการค้า ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์เองว่าฝ่ายผู้ขายเป็นผู้มาติดต่อเสนอขายสินค้ารายนี้ที่หน่วยงานก่อสร้างของโจทก์ แต่โจทก์ไม่สามารถให้รายละเอียดได้ว่าเป็นผู้ใดอีกทั้งไม่รู้จักสำนักงานหรือที่ทำการของผู้ขายแต่อย่างใดจึงส่อพิรุธมีเลศนัยแอบแฝง ใช่แต่เท่านั้น นายสินชัย จิตชาญวิทิตกรรมการคนหนึ่งของโจทก์ยอมรับว่า การรับมอบสินค้ารายพิพาท โจทก์ไม่ได้จัดทำบัญชีรับสินค้าและไม่มีบัญชีคุมสต๊อกสินค้า เพียงแต่ลงราคาซื้อสินค้าเป็นรายจ่ายของโจทก์ กรณีย่อมผิดปกติวิสัยของผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างเยี่ยงโจทก์จะหละหลวมปล่อยปละละเลยถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นตามใบกำกับภาษี ปรากฏรายการซื้อสินค้าจากร้านโกเหลี่ยง รวม 2 ครั้ง เป็นเงิน 340,018.92 บาทและ 350,000 บาท ส่วนรายการซื้อสินค้าจากบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด รวม 7 ครั้ง เป็นเงิน 155,268 บาท 230,850 บาท 315,000 บาท 320,400 บาท 396,000 บาท420,000 บาท และ 423,750 บาท ตามลำดับ ซึ่งโจทก์ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินแต่อย่างใดเลยโจทก์คงนำสืบแต่เพียงว่ามีผู้ลงลายมือชื่อช่องผู้รับเงินในใบกำกับภาษีซื้อดังกล่าวแล้วเท่านั้น แต่ไม่ได้ความว่าเป็นผู้ใดและมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้ขายอย่างไรจึงขัดต่อเหตุผลไม่มีน้ำหนักรับฟัง ข้อเท็จจริงกลับปรากฏตามที่ฝ่ายจำเลยนำสืบว่าแม้ผู้ออกใบกำกับภาษีซื้อให้แก่โจทก์รายนี้จะเป็นผู้ประกอบการที่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายก็ดีแต่สถานประกอบการร้านโกเหลี่ยง เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยว และบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด มีสภาพเป็นทาวน์เฮาส์ที่อยู่อาศัย ย่อมประจักษ์ชัดว่าเป็นการอำพราง หาใช่สถานประกอบการโดยแท้จริงไม่ นอกจากนี้นางจิตรมณี สุวรรณพูล เจ้าหน้าที่กองตรวจภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดตรวจค้นร้านโกเหลี่ยงเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลยว่าจากการตรวจสอบนางนัยนา หรือคิ้ม คุณานันทกิจรับว่าเป็นผู้ขายใบกำกับภาษีของร้านโกเหลี่ยงให้แก่ผู้อื่นโดยไม่มีการขายจริง อีกทั้งปรากฏตามคำให้การของนางสาวจันทร์เพ็ญ ทะมา นางสาวพวงพิกุล นันทะรัตน์ นางสาวเท่ จันทะโสก และนางสาวละมุด ออมสิน ซึ่งให้การไว้ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีตรงกันว่า พวกตนทั้งสี่ต่างเป็นพนักงานของบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด ได้เขียนใบกำกับภาษีตามคำสั่งของนายยุทธชัย เกศปานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด ซึ่งจะแจ้งชื่อและที่อยู่ของลูกค้า ประเภทของสินค้า จำนวนเงินให้เขียน โดยไม่มีการระบุปริมาณสินค้า แต่ให้ใช้วิธีนำราคาสินค้าต่อหน่วยไปหารจำนวนเงินที่ต้องการให้ออกใบกำกับภาษีก็จะได้ปริมาณสินค้า แล้วคูณด้วย7 เปอร์เซ็นต์ เป็นจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มดังนี้ พยานหลักฐานฝ่ายจำเลยมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ประกอบกับคดีนี้โจทก์เป็นผู้ได้รับประโยชน์ในการนำใบกำกับภาษีซื้อไปใช้เครดิตภาษีภาระการพิสูจน์ว่าใบกำกับภาษีซื้อออกโดยถูกต้องแท้จริงและชอบด้วยกฎหมายจึงตกอยู่แก่โจทก์อีกด้วยแต่โจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามข้ออ้าง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ร้านโกเหลี่ยง และบริษัทไทยเพิ่มพูนวัสดุและก่อสร้าง จำกัด ออกใบกำกับภาษีซื้อให้แก่โจทก์โดยไม่มีการขายสินค้า จึงถือว่าใบกำกับภาษีดังกล่าวเป็นใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ถูกต้อง โจทก์จึงไม่อาจนำภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีนั้นมาหักในการคำนวณภาษีตามมาตรา 82/5(5) ดังนั้นเมื่อโจทก์นำใบกำกับภาษีดังกล่าวมาใช้ จึงต้องเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของจำนวนภาษีตามใบกำกับภาษีดังที่กำหนดไว้ในมาตรา 89(7)และเงินเพิ่มตามมาตรา 89/1 แห่งประมวลรัษฎากร การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษายืน

Share