คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่พิพาทมาเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของป. เจ้าของที่แท้จริงจึงนำอายุความคดีมรดกมาใช้บังคับไม่ได้แม้ป.ถึงแก่ความตายนับถึงวันฟ้องในเวลา7ปีฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรและเป็นผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์ เกษจินดา นายประสิทธิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9720 ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม 2528 นายประสิทธิ์ถึงแก่ความตาย โจทก์ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์ จำเลยยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประสิทธิ์โดยให้จำเลยลงชื่อไว้แทน และรับว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ทายาทของนายประสิทธิ์ แต่เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน จำเลยกลับเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 9720 ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกงจังหวัดฉะเชิงเทราเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประสิทธิ์ เกษจินดา ให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวแก่โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา หากสภาพบังคับไม่เปิดช่องให้บังคับให้จำเลยใช้ราคาที่ดินเป็นเงินจำนวน3,902,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมา จำเลยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท จำเลยไม่ได้รับมอบหมายจากนายประสิทธิ์ เกษจินดาให้เป็นตัวแทนในการจัดการและครอบครองที่ดินพิพาท แต่จำเลยได้ครอบครองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ตลอดมา จำเลยไม่เคยรับต่อโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนายประสิทธิ์ซึ่งให้จำเลยลงชื่อไว้แทนทั้งไม่เคยรับว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ทายาทของนายประสิทธิ์ การกระทำของจำเลยไม่ได้ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยยื่นรังวัดออกโฉนดที่ดินตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม2526 และเจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดให้ในปี 2527 ขณะนายประสิทธิ์มีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้โต้แย้งประการใด นายประสิทธิ์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2528 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปีเศษ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่9720 เลขที่ดิน 125 ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์ เกษจินดาหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย หากสภาพบังคับไม่เปิดช่องให้บังคับได้ ก็ให้จำเลยชดใช้ราคาที่ดินเป็นเงินจำนวน 3,902,500 บาท แก่โจทก์ ส่วนคำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยฎีกาข้อแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ข้อนี้เป็นโจทก์เบิกความเป็นพยานว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินของนายประสิทธิ์ตามส.ค.1 เอกสารหมาย จ.26 ในปี 2511 ทางราชการให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินจัดรูปตนเอง โดยให้เจ้าของที่ดินยื่นสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองบางปะกง นายประสิทธิ์ได้ยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกแต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เจ้าพนักงานได้แบ่งที่ดินของนายประสิทธิ์ออกเป็นสองแปลง แปลงละ 25 ไร่ นายประสิทธิ์ได้ให้จำเลยยื่นสมัครเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองบางปะกงและเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำนวน 25 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทในคดีนี้ และนายประสิทธิ์ให้นายแทนและนางประเสริฐเช่าที่พิพาททั้งสองแปลงนายประสิทธิ์ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และให้จำเลยมาที่บ้านเพื่อทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์และมารดาโจทก์ยื่นเรื่องราวขอออกโฉนดในที่ดินพิพาท เจ้าพนักงานได้ออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาทในนามของจำเลยปรากฏตามเอกสารหมาย จ.9 โฉนดดังกล่าวอยู่กับนายประสิทธิ์ตลอดมา จำเลยตกลงว่าเมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแล้วจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้นายประสิทธิ์ ในวันทำศพนายประสิทธิ์ จำเลยได้ไปร่วมงานและพูดต่อหน้าโจทก์กับมารดาโจทก์ว่าจะจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทให้ทายาทของนายประสิทธิ์เมื่อพ้นกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายในปี 2532ต้นปี 2529 โจทก์และมารดาโจทก์ไปพบจำเลยที่บริษัทที่จำเลยทำงานอยู่เพื่อจะให้จำเลยทำบันทึกยืนยันว่าจะโอนชื่อโฉนดที่ดินพิพาทให้จำเลยก็ทำให้ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 นายแทน อิงคสุวรรณพยานโจทก์เบิกความว่า มีที่ดินอยู่ติดกับที่ดินพิพาท ได้เช่าที่ดินพิพาทจากนายประสิทธิ์ปรากฏตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.22และ จ.24 ส่วนจำเลยเบิกความเป็นพยานว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยได้มอบให้นางอุดมลักษณ์ ภริยานายประสิทธิ์ไปดำเนินการออกโฉนดปรากฏตามเอกสาร ล.9 แผ่นที่ 19 เมื่อจำเลยรับโฉนดมาแล้วได้นำไปฝากนายประสิทธิ์ไว้ เพราะบ้านจำเลยอยู่ในหมู่บ้านสลัมเกรงจะไม่ปลอดภัย ที่ดินพิพาทกับที่ดินของนายประสิทธิ์อยู่ติดกันจำเลยได้ให้นายประสิทธิ์ เป็นผู้จัดการให้ผู้อื่นเช่าทำกินหลังจากนายประสิทธิ์ถึงแก่ความตายแล้วจำเลยให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการให้เช่าแทน ภาษีที่ดินนายประสิทธิ์เป็นผู้เสียแทนเมื่อนายประสิทธิ์ถึงแก่ความตายก็ให้โจทก์เสียแทน จำเลยไม่เคยทำบันทึกการตกลงตามเอกสารหมาย จ.13 และเบิกความตอบทนาย โจทก์ถามค้านว่าจำเลยทำงานเป็นผู้ตรวจสอบมาตรฐานสินค้าได้รับเงินเดือนประมาณ 4,000 บาท เมื่อประมาณ 30 ปี ที่แล้วทำงานรับเหมาก่อสร้างมีรายได้เป็นค่าจ้างรายวัน ก่อนจำเลยจะเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองบางปะกง ไม่เคยมีที่ดินที่อำเภอบางปะกง ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่รวมอยู่ในที่ดินของนายประสิทธิ์ตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย จ.26ลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย ล.11เป็นลายมือชื่อของจำเลย เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยเจือสมกับคำเบิกความของพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเดิมที่พิพาทเป็นของนายประสิทธิ์โดยเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตาม ส.ค.1 เอกสารหมายจ.26 จำเลยไม่เคยมีที่ดินอยู่ที่อำเภอบางปะกง การที่นายประสิทธิ์และโจทก์เป็นผู้จัดการให้นายแทนและนางประเสริฐเช่าที่ดินพิพาทตลอดมาและเป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาก็ดีการที่จำเลยมอบให้มารดาโจทก์ไปดำเนินการขอออกโฉนดสำหรับที่ดินพิพาท และนายประสิทธิ์เป็นผู้เก็บโฉนดที่ดินพิพาทตลอดมาก็ดีน่าเชื่อว่านายประสิทธิ์ให้จำเลยสมัครเข้าเป็นสมาชิกนิคมสร้างตนเองบางปะกงและถือกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นของนายประสิทธิ์มาก่อนแทนนายประสิทธิ์ อีกประการหนึ่งโจทก์นำสืบว่า จำเลยได้ทำบันทึกรับรองว่านายประสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 ศาลฎีกาได้เปรียบเทียบลายมือชื่อของจำเลยในเอกสารดังกล่าวกับลายมือชื่อของจำเลยในเอกสารหมาย ล.11 แล้วเห็นว่าลายเส้นของลายมือชื่อดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกัน น่าเชื่อว่าลายมือชื่อในเอกสารหมาย จ.13 เป็นของจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายประสิทธิ์ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่า นายประสิทธิ์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2528 นับถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 ปี ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทมาเป็นของโจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายประสิทธิ์เจ้าของที่แท้จริง จึงนำอายุความคดีมรดกมาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share