คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 233/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวได้จะต้องมีข้อสัญญาหรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา386วรรคหนึ่งเท่านั้นแต่ตามสัญญาบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีข้อกำหนดว่าจำเลยจะเลิกสัญญาได้ในกรณีใดบ้างจึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวจึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2533 โจทก์กับจำเลยที่ 1ทำสัญญาเป็นบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเพื่อดำเนินกิจการร้านซุปเปอร์มาร์เก็ต ภายใต้ระบบเซ็นทรัลมินิมาร์ทโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิใช้ชื่อทางการค้าเครื่องหมายบริการ เครื่องหมายการค้า รวมทั้งลักษณะรูปรอยประดิษฐ์ ดวงตราเครื่องแบบตลอดจนเครื่องหมายอื่น ๆ ของโจทก์ได้โดยเรียกรวมว่า “ระบบแฟรนไชส์”แต่่่ในวันดังกล่าวยังไม่ได้เข้าทำในรูปลักษณะสัญญาเนื่องจากจะต้องจดทะเบียนบริษัทจำเลยที่ 2 ก่อน วันที่ 10 ตุลาคม 2533จำเลยที่ 1 เปิดดำเนินกิจการค้าร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตภายใต้ระบบเซ็นทรัลมินิมาร์ท และให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนผู้ติดต่อการค้ากับโจทก์ โจทก์คิดค่าแฟรนไชส์ในอัตราร้อยละ 3 ของยอดขายแต่ละเดือนจำเลยทั้งสองชำระค่าแฟรนไชส์ตลอดมา ระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2534ถึงเดือนตุลาคม 2534 จำเลยทั้งสองได้ถอนป้ายชื่อร้านเซ็นทรัลมินิมาร์ท ของโจทก์ออกแล้วนำป้ายชื่อร้านของจำเลยทั้งสองขึ้นติดตั้งแทน แต่ยังคงจัดร้านในรูปแบบเดิม โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองติดตั้งป้ายชื่อร้านของโจทก์ตามเดิม และให้จำเลยทั้งสองเข้าทำในลักษณะใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย การกระทำของจำเลยทั้งสองในฐานะตัวแทนสร้างความเสียหายแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองต้องชำระค่าปรับแก่โจทก์เป็นจำนวน 250,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธิดำเนินกิจการโดยมีวัตถุประสงค์ดำเนินการค้าในรูปแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตอันเป็นการผิดข้อตกลงเบื้องต้น การที่จำเลยทั้งสองปลดป้ายชื่อและเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าการค้าของโจทก์ประสบความล้มเหลว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายกรณีไม่เข้าทำสัญญาใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์เป็นเงิน250,000 บาท กับให้ใช้ค่าเสียหายที่ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงและระบบกาค้าแบบแฟรนไชส์ เป็นเงิน 20,000,000 บาท รวมทั้งให้ใช้ค่าสินค้าที่ค้างชำระเป็นเงิน 328,292.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย5,469.91 บาท รวมเป็นเงิน 333,762.67 บาท กับให้ใช้ค่าสิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าและค่าบริการ 2 งวด เป็นเงิน 91,801.56 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี คิดแต่วันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 1,329.87 บาท รวมเป็นเงิน 93,131.43 บาท รวมค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องชำระแก่โจทก์เป็นเงินทั้งสิ้น20,676,894.10 บาท ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินจำนวน 328,292.76 บาท และเงินจำนวน91,801.56 บาท และอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินจำนวน 250,000 บาทและ 20,000,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยทั้งสองหยุดประกอบกิจการค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ดำเนินกิจการเอง หรือร่วมลงทุน หรือมีผลประโยชน์ร่วม หรือมีส่วนได้เสียหรือเข้าเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นในรูปการเข้าเป็นหุ้นส่วนถือหุ้นร่วมทุน หรือเป็นลูกจ้างกับองค์การธุรกิจใด ๆ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการในลักษณะเดียวกันแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือมีความคล้ายคลึงกันกับกิจการที่โจทก์ดำเนินการอยู่เป็นเวลา 2 ปี นับแต่เดือนตุลาคม 2534 หากไม่หยุดประกอบกิจการให้จำเลยทั้งสองร่่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายตลอดเวลาที่ยังคงประกอบกิจการในอัตราร้อยละ 3 ของยอดขายแต่ละเดือนแก่โจทก์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2534 จนกว่าจะหยุดประกอบกิจการ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 เข้าทำบันทึกข้อตกลงกับโจทก์ตามฟ้อง ในวันที่ 10มิถุนายน 2533 จำเลยที่ 1 เป็นผู้เริ่มก่อการจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการขณะทำบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นโจทก์ไม่เคยนำสัญญาให้ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ที่ระบุไว้แนบท้ายบันทึกข้อตกลงมาให้จำเลยที่ 1 อ่านโจทก์ผิดข้อตกลงเบื้องต้น จำเลยทั้งสองทวงถามให้โจทก์ทำสัญญาใช้ชื่อทางการค้า แต่โจทก์ปฏิเสธ วิธีดำเนินการค้าของโจทก์มีข้อบกพร่องโจทก์มิได้ปรับปรุงวิธีการดำเนินการค้าหรือให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยทั้งสอง การค้าของจำเลยทั้งสองขาดทุนบ้าง กำไรบ้างโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยทั้งสองเข้าทำสัญญาให้ใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์จำเลยทั้งสองไม่เคยเรียนรู้การค้าในระบบซุปเปอร์มาร์เก็ตจากโจทก์เพียงแต่แนะนำให้บริษัทผู้ผลิตสินค้าส่งผู้แทนฝ่ายขายติดต่อขายสินค้าแก่จำเลยทั้งสองโดยโจทก์ควบคุมราคาและเอากำไรจากจำเลยทั้งสอง ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2534 จำเลยทั้งสองมอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือขอบอกเลิกข้อตกลงเบื้องต้นแล้ว เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ จำเลยทั้งสองระบุระยะเวลาให้โจทก์ถอนป้ายชื่อร้าน โจทก์ได้รับหนังสือแล้วเพิกเฉย จำเลยทั้งสองจึงถอดป้ายชื่อร้านของโจทก์ออกและนำป้ายชื่อร้านของจำเลยที่ 2 เข้าติดตั้งแทนทั้งเปลี่ยนรูปแบบภายในร้านเป็นรูปแบบใหม่ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองเข้าทำสัญญาให้ใช้ชื่อทางการค้าภายหลังจากจำเลยทั้งสองบอกเลิกบันทึกข้อตกลงแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ผิดข้อตกลง โจทก์เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าปรับ 250,000 บาท ไม่ได้ โจทก์กับจำเลยทั้งสองไม่ได้ทำสัญญาให้ใช้ชื่อทางการค้า โจทก์ไม่มีสิทธิห้ามมิให้จำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโดยมีวัตถุประสงค์ในทางการค้าในรูปแบบซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำเลยทั้งสองปลดป้ายของโจทก์ไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิคิดค่าเสียหายพิเศษจำนวน 20,000,000 บาทเพราะทุนจดทะเบียนของโจทก์มีเพียง 10,000,000 บาท จำเลยทั้งสองได้รับสินค้าจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรง โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินค้าที่ค้าง328,292.76 บาท จำเลยทั้งสองมิได้ทำสัญญาให้ใช้ชื่อทางการค้าโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้อยค่าใช้ชื่อทางการค้าหรือค่าแฟรนไชส์งวดประจำเดือนสิงหาคม 2534 และงวดประจำเดือนกันยายน 2534 ทั้งไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยของเงินดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหาย 250,000 บาทค่่าสินค้าที่ค้างชำระ 328,292.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2534 ค่าใช้สิทธิ (แฟรนไชส์)เป็นเงิน 91,801.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2534 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการซุปเปอร์มาร์เก็ตในลักษณะเดียวกับโจทก์ 480,000 บาท คำขออื่นให้ยกให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในประเด็นเรื่องผิดสัญญาที่จำเลยที่ 2ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นที่จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ผู้แทนของจำเลยที่ 2 ทำไว้ต่อโจทก์นั้นโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2533 ก่อนที่จำเลยที่ 2 จะจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากับโจทก์ตามบันทึกกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเอกสารหมาย จ.5 เพื่อดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตร่วมกันภายใต้ระบบการใช้ชื่อทางการค้าเครื่องหมายบริการ และเครื่องหมายการค้าของโจทก์หรือเรียกชื่อในทางธุรกิจการค้าว่า “ระบบแฟรนไชส์” จำเลยที่ 1ใช้บ้านเลขที่ 729/189 ถึง 190 ปากซอย 57 ถนนจรัญสนิทวงศ์แขวงบางบำหรุ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เปิดดำเนินธุรกิจร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตในชื่อร้านเซ็นทรัลมินิมาร์ทซึ่งเป็นชื่อสาขาของโจทก์ ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 2 ได้ดำเนินธุรกิจร้านค้าซุปเปอร์มาเก็ตดังกล่าวในนามของจำเลยที่ 2 ตลอดมาแต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมทำสัญญาใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่โจทก์กำหนด และเมื่อระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2534 ถึงเดือนตุลาคม 2534จำเลยที่ 2 ได้ปลดป้ายชื่อร้านเซ็นทรัลนิมิมาร์ทของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการอยู่ออกแล้วนำป้ายชื่อร้านของจำเลยที่ 2 ติดตั้งแทน และดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นเดียวกับร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ต เซ็นทรัลมินิมาร์ที่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการอยู่เดิมทุกประการ เมื่อโจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย จ.13 แจ้งเตือนให้จำเลยที่ 2 ปลดป้ายชื่อร้านของจำเลยที่ 2 ออกและให้นำป้ายชื่อร้านเซ็นทรัลมินิมาร์ท ของโจทก์ติดตั้งไว้ตามเดิมจำเลยที่ 2 ก็เพิกเฉยแม้จำเลยที่ 2 จะนำสืบหักล้างก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความของนายวัฒน์ จิราธิวัฒน์ ผู้บริหารโครงการของโจทก์และคำเบิกความของนายชินวุฒิ ศิริกรกุล ผู้จัดการจัดซื้อและเป็นผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาด้วยการให้จำเลยที่ 2 ใช้ชื่อและสัญลักษณ์ทางการค้าของโจทก์ รวมตลอดถึงการให้การอบรมพนักงานของจำเลยที่ 2การจัดทำระบบบัญชีของจำเลยที่ 2 และการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดำเนินกิจการร้านค้าของจำเลยที่ 2 จนจำเลยที่ 2 สามารถดำเนินธุรกิจร้านค้ามียอดจำหน่ายสินค้าแต่ละเดือนสูงขึ้นตามรายงานการขายประจำวันเอกสารหมาย จ.10 จนจำเลยที่ 2 สามารถดำเนินธุรกิจร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตในชื่อร้าน เซ็นทรัลมินิมาร์ท มาได้ประมาณ10 เดือน ส่วนการบริหารร้านค้าของจำเลยที่ 2 ให้มีกำไรหรือขาดทุนโจทก์ไม่มีหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว เชื่อว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามสัญญาบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 2 ตามเอกสารหมายจ.5 ดังที่โจทก์นำสืบ รูปคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายผิดสัญญาด้วยการไม่ยอมทำสัญญาใช้ชื่อทางการค้าตามบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้ปลดป้ายชื่อร้านเซ็นทรัลมินิมาร์ทออกจากร้านค้าของจำเลยที่ 2 แล้วติดตั้งชื่อร้านของจำเลยที่ 2 แทน โดยยังคงดำเนินธุรกิจร้านค้ารูปแบบและจำหน่ายสินค้าเช่นเดียวกับร้าน เซ็นทรัลมินิมาร์ท ของโจทก์ตามเดิมจำเลยที่ 2 จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต่อโจทก์ ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ตามหนังสือบอกเลิกสัญญาเอกสารหมาย ล.5 แล้วนั้น เห็นว่า การบอกเลิกสัญญาฝ่ายเดียวได้จะต้องมีข้อสัญญาหรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 วรรคหนึ่ง เท่านั้นแต่ตามสัญญาบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเอกสารหมาย จ.5 ไม่มีข้อกำหนดว่าจำเลยที่ 2 จะเลิกสัญญาได้ในกรณีใดบ้าง แม้จำเลยที่ 2 จะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 ได้มีหนังสือติเตียนและต่อว่าโจทก์ไปยังโจทก์ให้จัดการบริหารงานในร้านค้าเซ็นทรัลมินิมาร์ทที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการอยู่ให้เรียบร้อย และจำเลยที่ 2 ได้ขอคำชี้แจ้งจากโจทก์แล้วตามเอกสารหมาย ล.2 และ ล.3 ก็ตาม แต่โจทก์ก็อ้างว่าโจทก์ได้มีหนังสือเอกสารหมาย ล.4 ชี้แจงและเสนอแนะแก่จำเลยที่ 2 เกี่ยวกับการจัดหน้าร้านการจัดวางสินค้า รวมทั้งการสั่งซื้อและการคืนสินค้าแล้ว ซึ่งจำเลยที่ 2ก็ไม่ได้ปฏิเสธความข้อนี้ แสดงว่าโจทก์ได้ให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาแก่จำเลยที่ 2 เป็นอย่างดี กรณีจึงมิได้เป็นดังที่จำเลยที่ 2อ้าง นอกจากนี้ยังได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้วจำเลยที่่ 2 ก็ยังคงดำเนินธุรกิจร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตในรูปแบบเดิมเช่นเดียวกับร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเซ็นทรัลมินิมาร์ทที่่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการอยู่เดิมทุกประการ จากคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ที่ว่าถ้าปิดกิจการจำเลยที่ 2 ก็จะขาดทุน หากเปิดกิจการให้ดำเนินการต่อไปอาจพื้นทุนได้ แสดงให้เห็นว่าการดำเนินกิจการเซ็นทรัลมินิมาร์ท ที่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการอยู่ย่อมมีผลกำไรหาได้ขาดทุนดังที่จำเลยที่ 2 นำสืบไม่ จึงไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยที่ 2 จะบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้ การที่จำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาแต่ฝ่ายเดียวจึงไม่ชอบ เมื่อโจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 2ทำสัญญาใช้ชื่อทางการค้าของโจทก์ในรูปแบบของหนังสือสัญญาแต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมปฏิบัติตาม และจำเลยที่ 2 ยังคงดำเนินกิจการค้าในรูปแบบร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นเดียวกับร้านเซ็นทรับมินิมาร์ทที่จำเลยที่ 2 ดำเนินกิจการอยู่เดิม จำเลยที่ 2 ก็ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญาตามบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.5 จำเลยที่ 2จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินค่าปรับตามสัญญาจำนวน 250,000 บาทให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาต่อโจทก์อยู่จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิที่จะดำเนินธุรกิจการค้าในรูปแบบร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตลักษณะเดียวกันกับร้านค้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเซ็นทรัลมินิมาร์ท ของโจทก์
พิพากษายืน

Share