คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 719/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลแรงงานขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง โดยอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานอันเป็นความผิดร้ายแรงนั้น เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านยังให้การต่อสู้อยู่ว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่ศาลแรงงานจะสั่งงดสืบพยานผู้ร้องโดยนำคำให้การของพยานชั้นสอบสวน ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนตลอดจนความเห็นแย้งมาวินิจฉัยว่าการกระทำของผู้คัดค้านมิใช่เป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดเลิกจ้างหาได้ไม่ เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าว ถือว่าเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบ ไม่มีผู้รับรอง ชอบที่จะดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีต่อไป.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเมื่อระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม 2523 ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2524 นายพิเชษฐ์ ผิวแก้วซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้อาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำนาจหน้าที่การงานของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่นและปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตและเป็นความผิดอย่างร้ายแรงซึ่งผู้ร้องได้ตั้งกรรมการขึ้นทำการสอบสวนแล้วขออนุญาตเลิกจ้างนายพิเชษฐ์ ผิวแก้วและลงโทษด้วยการไล่ออก
นายพิเชษฐ์ ผิวแก้วผู้คัดค้านให้การว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่การงานและไม่เคยกระทำผิดอย่างร้ายแรงผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะไล่จำเลยออกผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่ผู้ร้องอ้างมานั้นไม่ถูกต้องและหาได้เป็นที่สุดที่จะไล่ผู้คัดค้านออกได้ไม่ ผู้ร้องเคยนำเรื่องนี้ฟ้องผู้คัดค้านยังศาลแพ่งตามคดีหมายเลขแดงที่ 4025/2529 ระหว่างองค์การแบตเตอรี่ ฯ โจทก์นายพิเชษฐ์ ผิวแก้ว กับพวกจำเลยคดียังไม่ถึงที่สุดและในคดีดังกล่าวผู้คัดค้านมีทางจะชนะคดีได้เพราะไม่มีพยานหลักฐานที่จะวินิจฉัยได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดจำเลยได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบและประเพณีที่ได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นเวลา 10 ปีเศษ เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะไล่โจทก์ออกขอให้ยกคำร้อง
ในวันนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นว่ามีเหตุที่ผู้ร้องจะลงโทษนายพิเชษฐ์ ผิวแก้วผู้คัดค้านได้หรือไม่สถานใด
ในวันนัดสืบพยานศาลแรงงานกลางฟังคำแถลงของผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้จึงให้งดสืบพยานของคู่ความทั้งสองฝ่าย
ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่ากรณียังไม่มีเหตุที่จะลงโทษเลิกจ้างนายพิเชษฐ์ ผิวแก้วได้ตามคำร้องอย่างไรก็ดีหากองค์การแบตเตอรี่จะลงโทษทางวินัยแก่นายพิเชษฐ์ ผิวแก้วซึ่งต้องขออนุญาตศาลแล้วก็ให้ลงโทษลดขั้นเงินเดือนลง 1 ขั้นตามที่ศาลได้ชี้เป็นประเด็นไว้
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้วปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานผู้ร้องศาลแรงงานกลางได้สอบถามผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยชี้ขาดได้แล้วจึงให้งดสืบพยานของคู่ความเสียแต่โดยที่คดีมีประเด็นว่ามีเหตุที่ผู้ร้องจะลงโทษผู้คัดค้านหรือไม่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้คัดค้านกระทำการทุจริตต่อหน้าที่การงานเป็นความผิดร้ายแรงซึ่งองค์การ ฯ ได้ตั้งกรรมการสอบสวนแล้วแต่ผู้คัดค้านให้การต่อสู้คดีว่าไม่เคยทุจริตต่อหน้าที่การงานและไม่เคยกระทำผิดอย่างร้ายแรงแต่อย่างใดผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะไล่ผู้คัดค้านออกผลของการสอบสวนของคณะกรรมการที่อ้างมานั้นไม่ถูกต้องและหาได้เป็นที่สุดที่จะไล่ผู้คัดค้านออกได้ไม่และตามคำแถลงของผู้คัดค้านที่ศาลสอบจดไว้ในวันนำสืบพยานผู้ร้องปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2524 (สำนวนอันดับ 14) ว่าผู้คัดค้านปฏิเสธว่ามิได้มีเจตนาหรือพฤติการณ์ทุจริตแต่อย่างใดโดยยังคงโต้แย้งข้อกล่าวอ้างของผู้ร้องตามคำร้องอยู่อีกทั้งเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งเป็นข้อบังคับองค์การแบตเตอรี่ว่าด้วยการพนักงานพ.ศ.2522 เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นบันทึกข้อความลงวันที่ 17 กันยายน 2529 เรื่องความเห็นแย้งสรุปผลการสอบสวนทางวินัยและเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งเป็นบันทึกข้อความลงวันที่ 10 กันยายน 2529เรื่องผลการสอบสวนทางวินัยที่ผู้ร้องส่งศาลในวันนัดสืบพยานก็ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้รับรองถึงความมีอยู่ความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่ผู้ร้องส่งศาลโดยไม่มีพยานบุคคลประกอบไม่มีผู้รับรองและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีโอกาสชี้แจงอธิบายเอกสารนั้น ๆ และผู้ร้องเองก็ยังอุทธรณ์คัดค้านว่าผู้คัดค้านทุจริตต่อหน้าที่เป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจึงต้องถูกลงโทษไล่ออกตามข้อบังคับองค์การแบตเตอรี่ว่าด้วยการพนักงานพ.ศ.2522 เช่นนี้ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลแรงงานกลางสั่งวดสืบพยานผู้ร้องเสียนั้นจึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243 (2) ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา 31
พิพากษายกคำสั่งศาลแรงงานกลางให้ย้อนสำนวนไปให้ดำเนินการสืบพยานในประเด็นแห่งคดีแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปความต่อไป’.

Share