คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างโจทก์จำเลยระบุว่าการร่วมลงทุนและการดำเนินกิจการจะขาดทุนหรือกำไรทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรับผิดชอบร่วมกันคนละครึ่ง และการชำระเงิน ค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้เป็นไปตาม สัญญาร่วมลงทุนฉบับนี้ ซึ่งหมายถึงให้ฝ่ายโจทก์จำเลยชำระคนละครึ่ง แสดงว่าทั้งโจทก์และจำเลยต่างให้สัญญาซึ่งกันและกันว่าต่างฝ่ายจะลงหุ้นโดยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการฝ่ายละครึ่ง ถือได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกัน ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1026 แล้ว แม้ฝ่ายหนึ่ง จะไม่ส่งเงินหรือทรัพย์สินตามที่ตกลงกันมาลงหุ้น ก็ไม่ทำให้สัญญาเข้าหุ้นส่วนเสียไปสัญญาร่วมลงทุนระหว่างโจทก์จำเลยจึงไม่ขัดต่อมาตรา 1026

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2530 โจทก์จำเลยได้ตกลงทำสัญญาร่วมลงทุนซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 7227 พร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถว 35 ห้อง ในราคา 12,000,000 บาท จากนายกระจ่าง โตประเสริฐ เพื่อแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อยแล้วขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่บุคคลอื่นต่อไป โดยมีข้อสัญญากันว่าการร่วมลงทุนนี้จะขาดทุนหรือกำไรคู่สัญญาตกลงรับผิดชอบร่วมกันคนละครึ่ง และในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถนำเงินมาชำระค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวได้ คู่สัญญายินยอมให้ฝ่ายที่ออกเงินชำระแทนคิดดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายได้ โจทก์ยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการต่าง ๆ โดยจำเลยสัญญาว่าจะแจ้งผลการดำเนินกิจการและแสดงบัญชีรับจ่ายให้โจทก์ทราบเป็นระยะแต่จำเลยไม่เคยแจ้งผลและแสดงบัญชีแก่โจทก์ โจทก์สืบทราบว่าจำเลยได้นำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายแก่บุคคลอื่นได้แล้ว คิดเป็นเงินหลายล้านบาทเศษ โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยแจ้งผลการดำเนินกิจการและแสดงบัญชีรับจ่ายแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย นอกจากนี้ยังมีบุคคลอื่นมาติดต่อขอซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่แบ่งย่อยกับโจทก์หลายราย โจทก์แจ้งจำเลยแล้ว แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขายอันเป็นการละเมิดวัตถุประสงค์ของสัญญาร่วมลงทุน ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเหลือวิสัยที่โจทก์จำเลยจะร่วมลงทุนต่อไปได้ ขอให้มีคำสั่งเลิกสัญญาร่วมลงทุนและให้จำเลยชำระบัญชีหากไม่สามารถชำระบัญชีได้ ขอให้มีคำสั่งแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและหรือจ่าศาลเป็นผู้ชำระบัญชีแทนโดยให้จำเลยเป็นผู้เสียหายค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า สัญญาร่วมลงทุนตามฟ้องเป็นโมฆะเพราะสัญญาข้อ 4 ยกเว้นการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1026 และเพราะวัตถุประสงค์แห่งสัญญาร่วมลงทุนเป็นการพ้นวิสัยเนื่องจากโจทก์ไม่สามารถลงหุ้นหรือร่วมขาดทุนในส่วนของตนได้ จำเลยดำเนินธุรกิจนี้เป็นการส่วนตัวมาโดยตลอด และโจทก์ได้แจ้งจำเลยว่าไม่อยู่ในฐานะที่จะลงหุ้นหรือรับผิดชอบร่วมกับจำเลยได้จึงได้ตกลงเลิกสัญญาหุ้นส่วนต่อกันไปแล้ว จำเลยไม่มีหน้าที่ใดต้องแจ้งผลการดำเนินกิจการและแสดงบัญชีรับจ่ายต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกัน และให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีกรมบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงเข้าหุ้นกันซื้อที่ดินและตึกแถวจากนายกระจ่าง โตประเสริฐ ในราคา 12,000,000 บาทตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ทั้งนี้เพื่อทำการแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นแปลงย่อยขายพร้อมตึกแถวจำเลยได้ออกเงินค่ามัดจำตามสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวรวม300,000 บาท เป็นการออกแทนส่วนของโจทก์จำนวน 150,000 บาท ต่อมาวันที่ 11 มีนาคม 2530 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาร่วมลงทุนกันปรากฏตามเอกสารหมาย ล.2 และโจทก์ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน150,000 บาท ตามเอกสารหมาย ล.3 มอบให้จำเลยไว้เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.5 โจทก์จำเลยเคยเป็นโจทก์ร่วมกันฟ้องนายกระจ่าง โตประเสริฐ เป็นจำเลยที่ศาลแพ่งเกี่ยวกับที่ดินและตึกแถวที่ซื้อขายกันนี้ คดีตกลงกันได้มีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.11
คดีมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าสัญญาร่วมลงทุนระหว่างโจทก์จำเลย ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1026 หรือไม่และสัญญาดังกล่าวเลิกกันแล้วเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีเงินลงทุน และไม่ได้ลงแรงหรือทรัพย์สินอื่นใดเลย จำเลยเป็นฝ่ายลงเงินและแรงงานมาฝ่ายเดียวโดยตลอดตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปัจจุบันสัญญาร่วมลงทุนจึงขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1026 นั้น เห็นว่าตามสัญญาร่วมลงทุนเอกสารหมาย ล.2 ข้อ 2 ระบุว่า การร่วมลงทุนตามสัญญานี้ และการดำเนินกิจการจะขาดทุนหรือกำไรทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรับผิดชอบร่วมกันคนละครึ่ง และข้อ 3.2 ระบุว่าการชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ข้อ 2.2, 2.3 และ 2.4 ให้เป็นไปตามสัญญาร่วมลงทุนฉบับนี้ ซึ่งหมายถึงให้ทั้งสองฝ่ายคือ โจทก์จำเลยชำระคนละครึ่ง ข้อสัญญาดังกล่าวแสดงว่าทั้งโจทก์จำเลยต่างให้สัญญาซึ่งกันและกันว่าต่างฝ่ายจะลงหุ้นโดยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายและค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการฝ่ายละครึ่ง ถือได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันระหว่างโจทก์จำเลย ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วนตามนัยแห่งมาตรา 1026 แล้วแม้ฝ่ายหนึ่งจะไม่ส่งเงินหรือทรัพย์สินตามที่ตกลงกันมาลงหุ้นก็หาทำให้สัญญาเข้าหุ้นส่วนกันดังกล่าวเสียไปไม่ สัญญาร่วมลงทุนระหว่างโจทก์จำเลย จึงไม่ขัดต่อมาตราดังกล่าว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาว่า สัญญาร่วมลงทุนระหว่างโจทก์จำเลยเลิกกันแล้วเพราะโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่นั้น เห็นว่าแม้โจทก์จะเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยในฐานะหุ้นส่วนก็จะต้องบอกเลิกสัญญาเสียก่อน จำเลยนำสืบว่าได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์ด้วยวาจาแล้ว ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2530 แต่ตามทางนำสืบของจำเลยเองปรากฏว่า หลังจากวันดังกล่าวจำเลยยังปฏิบัติต่อโจทก์เสมือนโจทก์ยังคงเป็นหุ้นส่วนตามสัญญาร่วมลงทุนอยู่อาทิ การร่วมกับโจทก์ฟ้องนายกระจ่าง โตประเสริฐ จนมีการประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอม ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.11 นอกจากนั้นจำเลยยังให้ภาพถ่ายโฉนดที่ดินที่แบ่งแยกแล้วตามสัญญาจะซื้อจะขายแก่โจทก์ เพื่อไปติดต่อขอกู้เงินจากธนาคารมาลงหุ้นส่วนของโจทก์ตามสัญญาร่วมลงทุนเป็นต้น ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้บอกเลิกสัญญาร่วมลงทุนกับโจทก์แล้วสัญญาดังกล่าวระหว่างโจทก์จำเลยจึงยังไม่เลิกกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เลิกห้างหุ้นส่วนและมีการชำระบัญชีได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share