แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้เสียหายได้เสียและตามนาย พ. ไปอยู่กินกันที่บ้านจำเลยผู้เสียหายตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 เดือน ก็มีเรื่องขัดแย้งกันจึงออกจากบ้านจำเลยไปอยู่บ้านมารดาผู้เสียหายเมื่อคลอดเด็กหญิง ท. ได้ประมาณ 20 กว่าวัน ผู้เสียหายนำเด็กหญิง ท. ซึ่งผู้เสียหายผูกแหวนนากไว้ที่ข้อมือไปที่บ้านจำเลยพูดว่าขอฝากเลี้ยง ค้าขายได้เงินจะส่งมาเป็นค่านมเด็กจำเลยไม่พูดว่ากระไรไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยยินยอมรับเลี้ยงเด็กหญิง ท. ซึ่งเป็นหลานและถือว่าจำเลยได้รับมอบการครอบครองแหวนนากที่ผูกติดข้อมือเด็กแล้วเมื่อจำเลยเบียดบังเอาแหวนนากเป็นประโยชน์ของตนจึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันครอบครองแหวนนาก ๑ วงของผู้เสียหายแล้วร่วมกันเอาเงินของตนและผู้อื่น และจำเลยที่ ๓ ได้นำเด็กหญิงทัศนี อายุประมาณ ๒๐ กว่าวัน ไปมอบให้ร้อยตำรวจโทประกอบสุขผู้มีอำนาจสอบสวนและสืบสวนคดีอาญา และแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาว่ามีผู้ทอดทิ้งเด็กไว้ในป่า อันเป็นความผิดอาญา ขอให้สืบหาบิดามารดาของเด็ก ซึ่งเป็นความเท็จ ตามจริงเด็กหญิงทัศนีเป็นหลานของจำเลยที่ ๓ ผู้เสียหายมอบให้จำเลยทั้งสามดูแลเลี้ยง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๑๗๒, ๑๗๓, ๓๕๒, ๘๓
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๗๓ จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปีข้อหาอื่นให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยที่ ๓ มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ เป็นบิดามารดาจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ เป็นพี่สาวนายพยูร ผู้เสียหายได้เสียและตามนายพยูรไปอยู่กินด้วยกันที่บ้านจำเลย เมื่อผู้เสียหายตั้งครรภ์ได้ประมาณ ๘ เดือนมีเรื่องขัดแย้งกันผู้เสียหายจึงออกจากบ้านจำเลยไปอยู่บ้านมารดาผู้เสียหาย ผู้เสียหายคลอดเด็กหญิงทัศนีได้ประมาณ ๒๐ กว่าวันจึงนำเด็กหญิงทัศนีซึ่งผู้เสียหายผูกแหวนนาก ๑ วงไว้ที่ข้อมือ พร้อมด้วยอุปกรณ์การเลี้ยงเด็กไปที่บ้านจำเลย ขณะนั้นจำเลยทั้งสามอยู่บ้าน ผู้เสียหายวางเด็กหญิงทัศนีไว้ที่บ้านจำเลยและพูดว่าขอฝากเลี้ยง ค้าขายได้เงินจะส่งมาเป็นค่านมเด็กจำเลยทั้งสามไม่พูดว่ากระไรโดยเฉพาะจำเลยที่ ๓ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ ดังนี้ พฤติการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ ๓ ยินยอมรับเลี้ยงเด็กหญิงทัศนีซึ่งเป็นหลานของจำเลยที่ ๓ และถือว่าจำเลยที่ ๓ ได้รับมอบการครอบครองแหวนนากที่ผูกติดข้อมือเด็กแล้ว การที่จำเลยที่ ๓ เบียดบังเอาแหวนนากเป็นประโยชน์ของตน จึงเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๒ ด้วย จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์