แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา และขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคแรกเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทนั้นไว้ระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาล แม้ต่อมาศาลจะสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องตามมาตรา 288(1) แต่ผู้ร้องก็ยังคงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอยู่ โจทก์จึงขอให้ขายทรัพย์พิพาทไม่ได้
เมื่อโจทก์เห็นว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาทเข้ามานั้นไม่มีมูล และยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โจทก์ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับนั้นได้ และเมื่อศาลพิจารณาเป็นเช่นนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องวางเงินต่อศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ ตามมาตรา 288(1)(อ้างฎีกาที่ 1293/2514)
ย่อยาว
คดีสามสำนวนนี้เป็นมูลคดีที่เกี่ยวเนื่องจากคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญากู้เงินศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ 20,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงยึดที่นาของจำเลยแปลงหนึ่งเนื้อที่ 28 ไร่
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์ยึดนั้นไม่ใช่ของจำเลยแต่เป็นที่ดินที่ผู้ร้องที่ 1 ซื้อจากผู้ร้องที่ 2 ขอให้ปล่อยที่พิพาท
โจทก์ให้การว่า ที่พิพาทเป็นของผู้ร้องที่ 2 ได้ขายให้จำเลย
ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ผู้ร้องที่ 1 ทำนาในที่พิพาท ศาลสั่งยกคำร้อง และโจทก์ได้ยื่นคำร้องว่าคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์นั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า ทำให้โจทก์เสียหายศาลชั้นต้นพิจารณาตามคำแถลงของโจทก์และผู้ร้องแล้ว สั่งให้ผู้ร้องวางเงินจำนวน 6,000 บาท ต่อศาลภายใน 15 วัน เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในความเสียหายที่อาจจะได้รับผู้ร้องที่ 1 ไม่วางเงินภายในกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ และต่อมาผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้รอการขายทอดตลาดที่พิพาทที่ยึดนั้น ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ผู้ร้องขัดทรัพย์วางเงินประกันค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 2,000 บาทภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันทราบคำพิพากษาและให้รอการขายทอดตลาดที่พิพาทไว้
โจทก์ฎีกาไม่ให้รอการขายทอดตลาดที่พิพาท
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา ขอไม่ต้องวางเงินประกันค่าสินไหมทดแทน แต่ให้เสียค่าเช่า 500 บาทแทนค่าเสียหาย
ที่โจทก์ฎีกาขอให้ขายทรัพย์ที่พิพาทนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาและขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคแรกบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีงดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทนั้นไว้ระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาล แม้ต่อมาศาลจะสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องตามมาตรา 288(1) แล้ว แต่ผู้ร้องก็ยังคงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอยู่ โจทก์จะขอให้ขายทรัพย์พิพาทไม่ได้
ที่ผู้ร้องขัดทรัพย์ฎีกาว่าผู้ร้องไม่ต้องวางเงินเพื่อประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับนั้น เห็นว่ากรณีเป็นเรื่องที่โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาล เมื่อโจทก์เห็นว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาทเข้ามานั้นไม่มีมูล และยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โจทก์ก็ยื่นคำร้องต่อศาลได้ และเมื่อศาลได้พิจารณาเห็นเช่นนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องวางเงินต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคือโจทก์สำหรับความเสียหายที่อาจได้รับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288(1) และตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1293/2514
พิพากษายืน