คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2495/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลย 6 คนโดยมิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 จึงลงโทษจำเลยที่ 1,2,3,4ฐานนี้ไม่ได้ และตามฟ้องโจทก์ก็มิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัว ว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายเสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้าย อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309ก็ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้เช่นกัน แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5 และ 6 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2, 3 ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอายุ 19 ปี อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ร่วมกันเป็นธุระจัดหาผู้เสียหายเพื่อการอนาจาร โดยจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 นำผู้เสียหายไปขายให้แก่จำเลยที่ 5 เพื่อบังคับให้ค้าประเวณี และจำเลยที่ 5 ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม เป็นธุระจัดหาผู้เสียหายเพื่อสำเร็จความใคร่ของชายได้บังคับข่มขืนใจให้ผู้เสียหายรับจ้างค้าประเวณี และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากความเป็นอิสระแก่ตน และจำเลยที่ 5 ที่ 6 ร่วมกันเพื่อสำเร็จความใคร่ของชาย เป็นธุระจัดหาผู้เสียหายเพื่อการอนาจารโดยจำเลยที่ 5 พาผู้เสียหายไปขายให้จำเลยที่ 6 เพื่อบังคับให้ผู้เสียหายรับจ้างค้าประเวณี และจำเลยที่ 6 ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรมเป็นธุระจัดหาผู้เสียหายเพื่อสำเร็จความใคร่ของชายได้บังคับข่มขืนใจให้ผู้เสียหายรับจ้างค้าประเวณีและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากความเป็นอิสระแก่ตน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 281,282, 283, 309, 310

จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ให้การรับข้อที่เคยต้องโทษและขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 283, 309, 310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด จำเลยที่ 4, 5, 6 มีความผิดตามมาตรา 283, 309, 310 ให้ลงโทษตามมาตรา 283 ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด

จำเลยทุกคนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ผู้เดียวฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 จริง แต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310 ด้วยนั้น เห็นว่าฟ้องโจทก์มิได้กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ได้ร่วมข่มขืนใจ หรือได้หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายให้ปราศจากเสรีภาพ จึงลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3, 4 ฐานนี้ไม่ได้และที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ด้วยนั้น ก็เห็นว่าตามฟ้องมิได้บรรยายว่าจำเลยที่ 5, 6 ได้ข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำให้เกิดความกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 309 จึงลงโทษจำเลยที่ 5 ที่ 6 ตามมาตรา 309 ไม่ได้ แม้จำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 มิได้ฎีกา แต่เป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาถึงจำเลยที่ 1, 3, 4, 5, 6 ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ 1, 2, 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276, 283 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2, 3 ตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 จำเลยที่ 5, 6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283, 310 แต่ให้ลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ตามมาตรา 283 ซึ่งเป็นกระทงหนักตามมาตรา 91นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share