คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6737/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยได้ใช้บัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่าครั้งสุดท้ายวันที่ 13สิงหาคม 2540 จากนั้นมิได้ใช้อีกต่อไป แต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์รวม 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2540 และวันที่ 6ตุลาคม 2540 โดยยอดหนี้ที่เหลือ จำเลยจะต้องชำระภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้สิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ส่วนหนี้ตามบัตรเครดิตซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด จำเลยใช้ครั้งสุดท้ายวันที่ 4 ตุลาคม 2510 และไม่เคยผ่อนชำระหนี้ที่เหลือแก่โจทก์ หนี้ถึงกำหนดชำระวันที่ 1ธันวาคม 2540 ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 2ธันวาคม 2540 อายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7) ย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวได้
ข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาซึ่งระบุว่าหากลูกหนี้ไม่ชำระตามใบแจ้งยอดบัญชีถือว่าลูกหนี้ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ เป็นเพียงการที่โจทก์ผ่อนปรนยังไม่ใช้สิทธิเรียกร้องแก่จำเลยเท่านั้น แต่หาเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อใช้บัตรซิตี้แบงก์วีซ่า และบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดของโจทก์เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าสินค้า บริการ ตลอดจนเบิกเงินสดจากสถานประกอบการต่าง ๆ ที่เป็นสมาชิกของโจทก์ หลังจากที่โจทก์ออกบัตรเครดิตให้จำเลยแล้วจำเลยได้นำบัตรดังกล่าวออกใช้ โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยให้แก่สถานประกอบกิจการค้าต่าง ๆ ไปก่อนแล้ว โจทก์ได้ส่งใบแจ้งยอดบัญชีรายเดือนให้แก่จำเลยเพื่อเรียกให้ชำระหนี้ที่เกิดจากการใช้บัตรทั้งสองดังกล่าว จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป โจทก์บอกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแล้ว ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 576,550.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 35 ต่อปีของต้นเงิน 307,125.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ลายมือชื่อของผู้มอบอำนาจและของผู้มอบอำนาจช่วงมิใช่ลายมือชื่อที่แท้จริง หนังสือมอบอำนาจจึงไม่สมบูรณ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันครบกำหนดชำระหนี้หลังจากที่จำเลยได้ใช้บัตรซื้อสินค้าและบริการครั้งสุดท้าย ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ โจทก์คิดดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ 2 ประเภท คือ บัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดมาตั้งแต่ประมาณเดือนตุลาคม2537 และวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2535 ตามลำดับจำเลยใช้บัตรเครดิตทั้งสองประเภทมาโดยตลอด โดยสำหรับบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าจำเลยได้ชำระเงินคืนครั้งสุดท้ายเป็นการชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2540 เหลือยอดหนี้ค้างชำระคำนวณถึงวันที่ 12เดือนเดียวกันจำนวน 153,882.96 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องชำระภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2540 แต่จำเลยมิได้ชำระและมิได้ใช้บัตรอีกต่อไปโจทก์คำนวณยอดหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2541 จำนวน190,762.03 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 5 มิถุนายน 2541 และสำหรับบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดจำเลยได้ใช้บัตรดังกล่าวครั้งสุดท้ายเบิกเงินจำนวน 10,000 บาท เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2540 คงมียอดหนี้คำนวณถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 จำนวน 162,139.14 บาทครบกำหนดชำระภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2540 แต่จำเลยมิได้ชำระและมิได้ใช้บัตรอีกต่อไป โจทก์คำนวณยอดหนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 5พฤษภาคม 2541 จำนวน 196,709.67 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 29 พฤษภาคม 2541 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า สัญญาการใช้บัตรเครดิตทั้งสองประเภทซึ่งมีอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) ต้องเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน2541 สำหรับบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าและตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2541สำหรับบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/9บัญญัติให้เจ้าหนี้ต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดมิฉะนั้นเป็นอันขาดอายุความ เว้นแต่ลูกหนี้จะกระทำการในกรณีใดกรณีหนึ่งดังที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14 ซึ่งจะเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง ปรากฏว่าสำหรับบัตรเครดิตซิตี้แบงก์วีซ่า จำเลยได้ใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 13สิงหาคม 2540 เบิกเงินจำนวน 3,000 บาท จากนั้นจำเลยมิได้ใช้อีกต่อไปแต่ได้ชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์รวม 2 ครั้ง เมื่อวันที่ 3 กันยายน2540 จำนวน 7,500 บาท และวันที่ 6 ตุลาคม 2540 จำนวน 7,200บาท โดยยอดหนี้ที่เหลือจำเลยจะต้องชำระภายในวันที่ 6 พฤศจิกายน2540 ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิใช้สิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน2540 ส่วนหนี้ตามบัตรเครดิตซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ด จำเลยใช้ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2540 และจำเลยไม่เคยผ่อนชำระหนี้ที่เหลือให้แก่โจทก์ หนี้ถึงกำหนดชำระวันที่ 1 ธันวาคม 2540 ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2540 อายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) ย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าวได้ฉะนั้นสำหรับบัตรซิตี้แบงก์วีซ่าย่อมขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน2542 และสำหรับบัตรซิตี้แบงก์มาสเตอร์การ์ดย่อมขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2542 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2543คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ส่วนข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญา ข้อ 7.ซึ่งระบุว่า หากลูกหนี้ไม่ชำระตามใบแจ้งยอดบัญชีถือว่าลูกหนี้ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ เป็นเพียงการที่โจทก์ผ่อนปรนยังไม่ใช้สิทธิเรียกร้องแก่จำเลยเท่านั้น แต่หาเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงไม่ และสำหรับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5924/2540 ซึ่งโจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างในฎีกานั้นข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ เพราะคดีดังกล่าวโจทก์สืบพยานเพียงฝ่ายเดียวว่า โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตั้งแต่วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2537โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 คดีดังกล่าวจึงไม่ขาดอายุความดังนี้ จึงจะนำข้อวินิจฉัยมาปรับใช้กับคดีนี้มิได้ ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีขาดอายุความและพิพากษายกฟ้องมานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share