คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2494/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 พูดทำนองจะฆ่าจำเลยที่ 1 ว่า “มึงตายเสียเถอะไอ้อู๋”และชักปืนออกมาก่อนแม้จะยังไม่ทันได้ยิงเพราะถูกผู้อื่นตบแขน แต่ปืนก็ยังอยู่ในมือประกอบกับห้างนาที่เกิดเหตุกว้างเพียง 4 เมตร ยาว 6เมตร นับว่าอยู่ในระยะประชิดตัวกันดังนี้จำเลยที่ 1 จำต้องยิงจำเลยที่ 2 เพื่อป้องกันตัวได้แต่การที่จำเลยทั้งสองยิงกันหลายนัด จำเลยที่ 2 มีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่ด้านหลังและที่ใต้รักแร้แพทย์ผู้ตรวจและรักษาว่าถูกยิงข้างหลังนั้นการกระทำของจำเลยที่1เป็นการป้องกันตัวเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ทะเลาะวิวาทและใช้อาวุธปืนยิงซึ่งกันและกันโดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนที่จำเลยที่ 1 ยิงถูกจำเลยที่ 2 ที่บริเวณแผ่นหลังและใต้รักแร้ ส่วนกระสุนปืนที่จำเลยที่ 2 ยิงจำเลยที่ 1 ถูกที่บริเวณเหนือข้อเท้า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผล เพราะกระสุนปืนถูกอวัยวะส่วนที่ไม่สำคัญของร่างกายและแพทย์รักษาทันท่วงที จำเลยทั้งสองจึงไม่ถึงแก่ความตาย บาดแผลปรากฏตามรายงานชันสูตรท้ายฟ้อง เจ้าพนักงานได้หัวกระสุนปืน 2 หัว เป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และริบของกลาง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ของกลางริบ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำเบิกความของนายฉลอมและนายอุดรเบิกความต้องคำกันว่า จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายก่อเหตุและชักปืนออกมาก่อน แม้จะไม่ทันได้ยิงเพราะถูกนายอุดรตบแขน แต่ปืนก็ยังอยู่ในมือของจำเลยที่ 2 ประกอบกับห้างนาที่เกิดเหตุกว้างเพียง 4 เมตร ยาว 6 เมตร นับว่าอยู่ในระยะประชิดตัวกัน การที่จำเลยที่ 2 พูดทำนองจะฆ่าว่า “มึงตายเสียเถอะไอ้อู๋” และชักปืนออกมาแล้ว จำเลยที่ 1 จำต้องยิงจำเลยที่ 2 เพื่อป้องกันตัวได้ แต่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองยิงกันหลายนัด และจำเลยที่ 2 มีบาดแผลถูกกระสุนปืนที่ด้านหลังและที่ใต้รักแร้ แพทย์หญิงวไล คงคามีพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ตรวจและรักษาเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ถูกยิงข้างหลัง การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการป้องกันตัวเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69 จำคุก 2 ปี แต่มีเหตุอันควรปราณีเพราะมิใช่เป็นฝ่ายก่อเหตุ จึงให้รอการลงโทษไว้ภายในกำหนด 3 ปี ตามมาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share