แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลทหารมีคำพิพากษาถึงที่สุดฟังว่า จำเลยที 1 ขับรถยนต์โดยประมาทแซงรถคันอื่นขึ้นมาล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์โดยสาร จนเป็นเหตุให้ชนรถยนต์โดยสารได้รับความเสียหาย ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามพระราชบัญญัติ ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ส่วนจำเลยที่ 2 นายจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้ถูกฟ้องในคดีอาญาด้วย คำพิพากษาในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ 2 จึงชอบที่จะยกข้อต่อสู้และนำสืบได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายละเมิด หากเป็นแต่ความประมาทของคนขับรถยนต์โดยสารฝ่ายเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารมีนายถนอมเป็นคนขับ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของรถยนต์อีกคันหนึ่งและเป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ ด้วยความเร็วสูง ถึงทางโค้งก็ไม่ชะลอความเร็ว กลับแซงรถยนต์ที่วิ่งข้างหน้าอีก ๒ คันล้ำเข้าไปในเส้นทางด้านขวาพุ่งเข้าชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ซึ่งสวนทางมาเสียหาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ๒๖๒,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การและจำเลยที่ ๒ ฟ้องแย้งว่า เหตุที่เกิดขึ้นรถโจทก์ชนรถจำเลยเป็นเพราะความประมาทของนายถนอมลูกจ้างของโจทก์ฝ่ายเดียว ขับรถล้ำเส้นทางของรถจำเลยด้วยความเร็วมาก ค่าเสียหายโจทก์ไม่มากตามฟ้อง เหตุที่ลูกจ้างโจทก์ประมาทจำเลยเสียหาย ๓๗,๐๐๐ บาท ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นความประมาทของรถจำเลยฝ่ายเดียว ค่าเสียหายไม่มากเท่าที่ฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว พิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้แก่จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๑๑,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้จำเลย ๓๖,๙๑๒ บาทพร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นที่ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อทำให้ฝ่ายหนึ่งเสียหายนั้น ปรากฏว่าคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๔๑/๒๕๑๖ หมายเลขแดงที่ ๓๔๔/๒๕๑๗ ของศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดอุดรธานี) ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดฟังว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์โดยประมาทแซงรถคันอื่นขึ้นมาล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์โดยสารหมายเลขทะเบียน อ.ด. ๐๔๖๕๙ จนเป็นเหตุให้ชนรถยนต์โดยสารได้รับความเสียหาย ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕๔ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ส่วนจำเลยที่ ๒ นายจ้างของจำเลยที่ ๑ จะต้องร่วมรับผิดในความเสียหายด้วยหรือไม่นั้น จำเลยที่ ๒ มิได้ถูกฟ้องคดีอาญาด้วย คำพิพากษาในคดีอาญาจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยที่ ๒ จึงชอบด้วยที่จะยกข้อต่อสู้ และนำสืบได้ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายละเมิด หากแต่เป็นความประมาทของคนขับรถยนต์โดยสารฝ่ายเดียว
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ในทางการที่จ้างบนถนนซึ่งเป็นเนินและทางโค้งแซงรถยนต์บรรทุกคันอื่นขึ้นมาล้ำเส้นกึ่งกลางถนนเข้าไปในเส้นทางรถยนต์โดยสารชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ฝ่ายเดียวประมาทเลินเล่อ โจทก์เสียหาย ๒๕๓,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย
พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒ ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย ๒๕๓,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์