คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1972/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อสหกรณ์ โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก 11 คน จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสหกรณ์ และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์ว่า “ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อกลับไปซื้อที่ดินราคา 7 หมื่นบาท ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่นๆ มาก การซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริงๆ ไปเพียง 4 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก 3 หมื่นไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใคร ขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้ เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ดังนี้เป็นข้อความที่ทำให้เข้าใจได้ว่า กรรมการผู้จัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด ทุจริตในการซื้อขายที่ดินนั้น แต่จำเลยทั้งสองให้ข่าวและพิมพ์โฆษณาข้อความดังกล่าวเพราะมีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าโจทก์ซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ส่อไปในทางทุจริต.ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) และไม่เป็นการละเมิด ที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้ โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมอีกด้วย
ในคดีอาญา จำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลย โดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริง ที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ (อ้างฎีกาที่ 2823,2824/2516)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างที่ทำการสหกรณ์การเกษตรคลองขลุง จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสหกรณ์ จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการและผู้พิมพ์โฆษณาหนังสือพิมพ์เพื่อนประชาชน จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์โดยแจ้งข่าว พิมพ์โฆษณาแพร่หลายในหนังสือพิมพ์ว่า “ได้มีเจ้าของที่ดินแปลงใกล้เคียงเสนอขายสหกรณ์ในราคาถูกกว่านี้ แต่กรรมการไม่ยอมรับซื้อ กลับไปซื้อที่ดินราคา 7 หมื่น ซึ่งแพงกว่าแปลงอื่น ๆ มากการซื้อขายที่ดินแปลงนี้ เจ้าของที่ดินได้รับเงินจริง ๆ ไปเพียง 4 หมื่นบาทเท่านั้น ส่วนอีก 3 หมื่นบาทไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือใครขณะนี้สมาชิกกำลังแยกย้ายกันหาหลักฐานการทุจริตครั้งนี้ เพื่อเตรียมดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จ และเป็นการเสียหายแก่ชื่อเสียงเกียรติคุณของโจทก์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 326, 328 และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทน 30,000 บาทแก่โจทก์

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้อง ให้จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 2 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 กำหนด 1 เดือน และปรับ1,000 บาท โทษจำคุกสำหรับจำเลยที่ 2 ให้รอไว้ 1 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ 3,000 บาท

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยเข้าใจว่าโจทก์ซื้อที่ดินโดยไม่สุจริต ซึ่งไม่ใช่เรื่องใส่ความกันเป็นส่วนตัว หากแต่เป็นกิจการและความคิดเห็นโดยสุจริต เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของตน ในฐานะเป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรอยู่ด้วย จึงไม่เป็นหมิ่นประมาท และไม่ละเมิดต่อโจทก์ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นสมาชิกสหกรณ์และเป็นประธานกรรมการจัดซื้อที่ดินเพื่อตั้งสำนักงานและยุ้งฉางของสหกรณ์ โดยมีสมาชิกเป็นกรรมการอีก 11 คน คณะกรรมการได้ตกลงซื้อที่ดินของนางเจริญในราคา 70,000 บาท จำเลยที่ 1 เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตร และเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์เพื่อประชาชน จำเลยที่ 2 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น จำเลยทั้งสองได้แจ้งข่าวและพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์มีข้อความตอนหนึ่งดังกล่าวในฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความที่พิมพ์โฆษณาทำให้เข้าใจได้ว่ากรรมการจัดซื้อที่ดินให้สหกรณ์ทุกคนหรือคนใดคนหนึ่งรวมทั้งโจทก์ด้วย ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นผู้ใด ทุจริตในการซื้อที่ดินนั้น โดยชำระค่าที่ดินให้ผู้ขายเพียงสี่หมื่นบาททำหลักฐานการรับเงินไว้เจ็ดหมื่นบาท และนำเงินอีกสามหมื่นบาทไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สอบถามเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอถึงราคาประเมินเพื่อเสียภาษีที่ดินบริเวณที่สหกรณ์ซื้อ เห็นว่า สหกรณ์ซื้อแพงกว่าราคาปกติมาก จึงได้ไปพบโจทก์เพื่อหาทางยับยั้งไม่ให้ซื้อ เมื่อไม่สำเร็จจึงไปพบจำเลยที่ 2ขอให้ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ลงพิมพ์ข่าวให้ เพราะเห็นว่ามีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต ประกอบกับจำเลยที่ 1 ได้ทราบจากนางกิมฮวยหลานของนางเจริญผู้ขายที่ดินให้สหกรณ์ว่าที่ดินขายเพียงสี่หมื่นบาทการลงข่าวตามฟ้องจึงเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบมา จำเลยทั้งสองกับโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน แสดงให้เห็นถึงความสุจริตของจำเลยทั้งสองในการให้ข่าวหรือข้อความนั้นเพื่อความชอบธรรม โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมในฐานะที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ซึ่งจะต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจากการซื้อที่ดินแพงกว่าปกติ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) และไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ที่จะขอให้ศาลบังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้ได้

ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยมิได้ซักค้านนางเจริญพยานโจทก์ในประเด็นที่ว่า นางเจริญเคยเล่าให้นางกิมฮวยฟังว่า ขายที่ดินแปลงนี้ในราคา 40,000 บาท แต่กรรมการทำหลักฐานการซื้อขายเป็น 70,000 บาทจึงรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า ในคดีอาญาจำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยโดยไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในข้อเท็จจริงที่จำเลยจะนำสืบพยานต่อไปได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2823,2824/2516 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share