แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยเสนอจะให้เงินแก่ ม. และ ว. ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเสนอจะให้เงินแก่ ก. แต่ ม. กับ ว. ก็เป็นผู้ร่วมยึดสินค้าของกลางกับ ก. ข้อแตกต่างจึงไม่ใช่สาระสำคัญ ทั้งจำเลยนำสืบปฏิเสธว่ามิได้เสนอจะให้เงินแก่ผู้ใดทั้งสิ้น จึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 144
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 144 ให้จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2538 นายกมลปองหรือปอง หัวหน้าฝ่ายป้องกันและปราบปราม สำนักงานสรรพสามิต เขต 9 จังหวัดสงขลา กับพวก ร่วมกันตรวจยึดสินค้าประเภทบุหรี่ สุรา โทรทัศน์สี เครื่องเล่นวีดีโอเทป และเครื่องทำน้ำอุ่น รวม 11 รายการ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร แล้วนำมาตรวจนับ ณ ที่ว่าการอำเภอละงู จังหวัดสตูล ต่อมาจำเลยซึ่งขณะนั้นรับราชการประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ได้เข้ามายังที่เกิดเหตุแล้วถูกจับกุม ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
พยานหลักฐานของโจทก์หนักแน่นมั่นคงเชื่อได้ว่าจำเลยเสนอจะให้เงินจำนวน 200,000 บาท แก่นายกมลปองหรือปอง เจ้าพนักงานผู้ร่วมยึดสินค้าของกลาง เพื่อจูงใจให้นายกมลปองหรือปองคืนสินค้าของกลางแก่จำเลยอันมิชอบด้วยหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดตามฟ้อง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า จำเลยเสนอจะให้เงินแก่นายไมตรี และนายวิชาญ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเสนอจะให้เงินแก่นายกมลปองหรือปอง แต่นายไมตรีกับนายวิชาญก็เป็นผู้ร่วมยึดสินค้าของกลางกับนายกมลปองหรือปอง ข้อแตกต่างจึงไม่ใช่สาระสำคัญทั้งจำเลยนำสืบปฏิเสธว่ามิได้เสนอจะให้เงินแก่ผู้ใดทั้งสิ้น จึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.