คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2486/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าประทานบัตรโดยโจทก์เป็นผู้ผลิตหินแกรนิต แล้วให้จำเลยที่ 1 ผู้ถือประทานบัตรติดต่อขอใบอนุญาตขนแร่จากทรัพยากรธรณีจังหวัด เพื่อโจทก์จะได้นำหินแกรนิตที่ผลิตได้ออกจำหน่าย แสดงว่า โจทก์ทราบแล้วว่าตนไม่มีสิทธิขนแร่ได้เองเสมือนเป็นผู้ถือบัตรประทานบัตร เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 77 ทั้งมีเจตนาฝ่าฝืนบทห้ามของ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2510 ซึ่งได้กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ถือประทานบัตรไว้ในมาตรา 140 นอกจากนี้มาตรา 75 บัญญัติว่า ประทานบัตรให้ใช้ได้เฉพาะตัวผู้ถือประทานบัตร ด้วยประสงค์ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามประทานบัตรเอง การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้โจทก์เช่าประทานบัตรโดยไม่ยื่นขออนุญาต จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ ทำสัญญาให้โจทก์เช่า จำเลยที่ ๒ ซื้อประทานบัตรเหมืองแร่ต่อจากจำเลยที่ ๑ และตกลงรับพันธะที่จำเลยที่ ๑ มีกับโจทก์ จำเลยทั้งสองผิดสัญญากับโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงิน ๔๖,๕๔๒,๐๙๐.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔๕,๕๗๙,๐๐๐ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันขอใบอนุญาตขนแร่ตามจำนวนที่โจทก์ผลิตได้ให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมหรือไม่สามารถขอใบอนุญาตขนแร่ให้แก่โจทก์ได้ ก็ให้ชดใช้ราคาให้อัตราคิวบิกเมตรละ ๗,๕๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้โจทก์เช่าประทานบัตรเหมืองแร่ตามฟ้อง เพื่อการผลิตหินแกรนิต อันเป็นเรื่องของโจทก์ที่จะทำการผลิตหินแกรนิตโดยลำพัง และต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของกรมป่าไม้และกรมทรัพยากรธรณีอีกด้วย ตามสัญญาเช่าไม่ได้มีข้อตกลงว่า เมื่อโจทก์ผลิตหินแกรนิตได้ จำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับกรมทรัพยากรธรณี กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอใบอนุญาตขนแร่ออกไปจำหน่าย การขอใบอนุญาตขนแร่เป็นเรื่องของโจทก์ ต่อมาวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งสามฉบับให้แก่จำเลยที่ ๒ มีข้อตกลงว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับพันธะตามสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ด้วย ซึ่งโจทก์ทราบและตกลงยินยอมด้วย จำเลยที่ ๑ ได้ส่งมอบเหมืองแร่ตามประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งสามฉบับพร้อมโอนสิทธิประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๒ เสร็จสิ้นแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เช่าประทานบัตรเหมืองแร่ทั้งสามฉบับจากจำเลยที่ ๒ นับแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕ เป็นต้นไป จำเลยที่ ๑ และโจทก์ไม่มีสิทธิและหน้าที่ใด ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าอีกต่อไป โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ผิดสัญญาเช่า การที่จำเลยที่ ๒ ให้ผู้รับมอบอำนาจแจ้งโจทก์ออกจากที่เช่า จึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิ์ฟ้องคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ คืนเงินมัดจำการเช่าจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ด้วย
โจทก์และจำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ที่ตำบลปรังเผล อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๔ โจทก์และร้อยตำรวจเอกนิคม มุสิกบุตร ได้เช่าประทานบัตรเหมืองแร่ดังกล่าวจากจำเลยที่ ๑ เพื่อผลิตหินแกรนิตมีกำหนดเวลา ๖ ปี นับแต่วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ ในวันทำสัญญาเช่าโจทก์ได้วางเงินมัดจำ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยที่ ๑ ไว้ และจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงกับโจทก์ว่า จำเลยที่ ๑ จะขอใบอนุญาตขนแร่จากทรัพยากรธรณีจังหวัดกาญจนบุรีให้โจทก์ใช้ในการขนหินแกรนิตด้วย เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้ได้รับประทานบัตรจึงไม่สามารถยื่นขอใบอนุญาตขนแร่ได้ ต่อมาวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ ขายประทานบัตรเหมืองแร่หินแกรนิตให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ ๒ จะต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่จำเลยที่ ๑ ทำไว้กับโจทก์ แต่หลังจากทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ดำเนินการขอใบอนุญาตขนแร่ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่ชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๓๕ เป็นต้นมา ต่อมาวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๓๕ บริษัทโอ. เอ็น. เค. ไมนิ่ง แอนด์ คอนสตรั๊คชั่น จำกัด ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ ๒ มีหนังสือแจ้งให้โจทก์ออกจากเหมืองดังกล่าวอ้างว่า โจทก์ละเมิดต่อกฎหมายและสิทธิของจำเลยที่ ๒
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยเป็นข้อแรกตามฎีกาของโจทก์และของจำเลยที่ ๒ ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายฐานผิดสัญญาเช่าจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ถือประทานบัตรยอมให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมืองไม่ว่าเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมดของเขตเหมืองแร่ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมาย” มาตรา ๗๗ วรรคสอง บัญญัติว่า “รัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายเป็นผู้ออกใบอนุญาตให้มีการรับช่วงการทำเหมืองได้ตามที่จะพิจารณาเห็นสมควร… ผู้ถือประทานบัตรที่ได้ให้ผู้อื่นรับช่วงการทำเหมืองดังกล่าวตามวรรคหนึ่งคงมีหน้าที่และความรับผิดตามกฎหมาย และให้ผู้รับช่วงการทำเหมืองนั้นมีสิทธิ หน้าที่และความรับผิดตามกฎหมายเสมือนเป็นผู้ถือประทานบัตรด้วย” การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ถือประทานบัตรให้โจทก์เช่าประทานบัตรเพื่อผลิตหินแกรนิต ก็คือการให้โจทก์รับช่วงการทำเหมืองตามที่ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๖ วรรคหนึ่ง บัญญัติห้ามไว้นั่นเอง เพียงแต่บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวมิได้ห้ามการรับช่วงการทำเหมืองโดยเด็ดขาด หากรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายอนุญาต ก็ย่อมรับช่วงการทำเหมืองได้ แต่กรณีตามคดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ. ๓ โดยโจทก์ผลิตแกรนิตแล้วให้จำเลยที่ ๑ ผู้ถือประทานบัตรติดต่อขอใบอนุญาตขนแร่จากทรัพยากรธรณีจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อโจทก์จะได้นำหินแกรนิตที่ผลิตได้ออกจำหน่าย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ได้ยื่นขออนุญาตให้โจทก์รับช่วงการทำเหมือง แสดงว่าโจทก์ทราบแล้วว่าตนไม่มีสิทธิขนแร่ได้เองเสมือนเป็นผู้ถือบัตรประทานบัตร เพราะโจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองตามมาตรา ๗๗ ทั้งการที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้โจทก์เช่าประทานบัตรเหมืองแร่ดังกล่าวเป็นการกระทำที่มีเจตนาฝ่าฝืนบทบัญญัติห้ามของ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ อย่างชัดแจ้ง การฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้กำหนดโทษทางอาญาสำหรับผู้ถือประทานบัตรไว้ในมาตรา ๑๔๐ ว่า ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท และรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรนั้นเสียได้ นอกจากนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๕ ว่า ประทานบัตรให้ใช้ได้เฉพาะตัวผู้ถือประทานบัตรและให้คุ้มถึงลูกจ้างของผู้ถือประทานบัตรด้วย เห็นได้ว่าความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ ประสงค์ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามประทานบัตรเอง ไม่อาจให้ผู้อื่นมาดำเนินการแทนได้ตามอำเภอใจ การที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาให้โจทก์เช่าประทานบัตรเหมืองแร่ดังกล่าวโดยไม่ยื่นขออนุญาต จึงเป็นการกระทำที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน สัญญาเช่าประทานบัตรเหมืองแร่ดังกล่าวตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐ ไม่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยที่ ๑ รวมทั้งไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ ผู้ซื้อประทานบัตรจากจำเลยที่ ๑ โดยยอมผูกพันตามสัญญาเช่าประทานบัตรดังกล่าวแทนจำเลยที่ ๑ ด้วย ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองได้ กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ เสียด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share