แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หนังสือค้ำประกันรายพิพาทมีข้อความว่าจำเลยที่ 3 ตกลงค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์หากจำเลยที่ 1 กระทำด้วยประการใด ๆ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3 ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายทั้งสิ้นและจำเลยที่ 3 ฝ่ายเดียวได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน ดังนี้เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680 วรรคสองเท่านั้น มิใช่เป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103,104 และ 118 ดังนั้น แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์ก็สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์เข้าทำงานเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2517 ในตำแหน่งพนักงานทั่วไป ครั้งสุดท้ายมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชีชั้น ก ประจำอยู่ที่ธนาคารโจทก์สาขาคลองตัน มีหน้าที่ดูแลด้านการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและควบคุมเทเลอร์เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2517 จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ ยอมรับผิดใช้ค่าเสียหายในวงเงิน 50,000 บาท และวันที่ 15 พฤษภาคม 2524 จำเลยที่ 3ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ยอมรับผิดใช้ค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นทั้งสิ้น ระหว่างที่จำเลยที่ 1 ทำงานที่สาขาคลองตัน จำเลยที่ 1 ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่ปฏิบัติงานโดยทุจริตโดยบังอาจปลอมลายมือและเบิกเงินจากบัญชีของลูกค้าของโจทก์ สาขาคลองตัน ไปเป็นของตนหรือผู้อื่นรวม 128 ครั้ง จำเลยที่ 1 ได้เงินไปทั้งสิ้น 19,664,867.67บาท จำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าได้กระทำการทุจริตจริง โจทก์จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ออกจากงานเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม2539 และแจ้งความดำเนินคดีทางอาญาแก่จำเลยที่ 1ในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอมพนักงานสอบสวนออกหมายจับจำเลยที่ 1 ไว้ แต่ยังจับไม่ได้โจทก์ทวงถามจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ผู้ค้ำประกันให้รับผิดใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสามเพิกเฉย จำเลยที่ 1ต้องชำระเงินจำนวน 19,664,867.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2539จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน4,905,441.64 บาท รวมกับเงินต้นเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น24,570,309.30 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 24,570,309.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 19,664,867.67 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมชำระหนี้ในวงเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2ต่อศาลแรงงานเพราะมูลคดีเป็นเรื่องค้ำประกัน อันเป็นเหตุการณ์จากการผิดสัญญาทางแพ่ง มิได้เกิดจากผิดสัญญาจ้างแรงงานศาลแรงงานจึงไม่มีอำนาจรับฟ้องคดีนี้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับทั้งข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ทำให้จำเลยที่ 2 เสียเปรียบไม่สามารถให้การต่อสู้คดีได้ความเสียหายที่โจทก์อ้างตามฟ้องไม่ใช่ค่าเสียหายที่มีอยู่จริงเป็นเพียงขั้นตอนการแจ้งความดำเนินคดีในชั้นพนักงานสอบสวนเท่านั้นยังไม่ได้พิสูจน์ความผิดและค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นเพียงผู้ช่วยสมุห์บัญชีเท่านั้น ไม่สามารถทำความผิดได้ตามฟ้องโดยไม่มีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องรู้เห็น ฟ้องคดีนี้จึงมีพิรุธและไม่แน่ว่าจะมีความเสียหายอยู่จริงเพียงใด โจทก์ก็บกพร่องในการตรวจสอบพนักงานของตนเอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 3 ต่อศาลแรงงานเพราะเป็นมูลคดีทางแพ่ง ทั้งข้อเท็จจริงยังไม่ยุติเป็นเพียงโจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างตามฟ้อง ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ และโจทก์ไม่สามารถบังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ได้แล้ว โจทก์จึงจะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันรับผิดต่อโจทก์ตามกฎหมายศาลแรงงานไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 1 ทุจริตอย่างไร ปลอมลายมือชื่อของลูกค้าคนใด เบิกเงินจากลูกค้ารายใดเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยที่ 3 ไม่เข้าใจสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับในฟ้อง จำเลยที่ 3 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันการปฏิบัติงานของจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องเพราะลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 3 รับผิดต่อโจทก์ เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำการทุจริตหรือทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1และทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ 3 ด้วย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี เพราะเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ เนื่องจากมูลหนี้เกิดจากมูลละเมิด ซึ่งต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ทราบถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยโจทก์ทราบความเสียหายอย่างช้าที่สุดคือวันที่ 13 พฤษภาคม 2539 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์มีคำสั่งให้จำเลยที่ 1ออกจากงาน แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2541 ซึ่งเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3ได้ทำหนังสือค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.9 เอกสารดังกล่าวมิใช่เอกสารปลอม จำเลยที่ 3ต้องผูกพันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 19,664,867.67 บาท โดยจำเลยที่ 2รับผิดชำระเงินต้นจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของยอดเงินที่จำเลยแต่ละคนต้องรับผิดนับแต่วันที่ 13พฤษภาคม 2539 จนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 4,905,441.64 บาท
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 3 อุทธรณ์ว่าหนังสือค้ำประกันที่โจทก์อ้าง มิได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ จึงไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีเพื่อให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลแรงงานกลาง จำเลยที่ 3 ก็ยกขึ้นอุทธรณ์ได้และเห็นว่าหนังสือค้ำประกัน มีข้อความว่าจำเลยที่ 3 ตกลงค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ว่า หากจำเลยที่ 1กระทำด้วยประการใด ๆ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 3ยินยอมชดใช้ค่าเสียหายนั้น ๆ ทั้งสิ้น และจำเลยที่ 3 ฝ่ายเดียวได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วยเช่นนี้ เห็นได้ว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเพียงหลักฐานเป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 680 วรรคสอง เท่านั้น มิใช่เป็นหนังสือสัญญาค้ำประกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 อันจะถือเป็นตราสารที่ต้องเสียอากรโดยปิดแสตมป์บริบูรณ์ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ตามความมุ่งหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 103, 104 และ118 แต่อย่างใด ดังนั้น แม้หนังสือค้ำประกันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ก็สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน