คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2478/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์มิได้มีอำนาจทั่วไปในการเจรจาและตกลงทำสัญญาต่าง ๆแทนบริษัทแอลเอ็มอีริคสันจำกัดซึ่งเป็นวิสาหกิจของประเทศสวีเดนตั้งอยู่ในประเทศสวีเดนเป็นปกติวิสัย โจทก์จึงไม่เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทแอลเอ็มอีริคสัน จำกัดตามความตกลงว่าด้วยอนุสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศสวีเดนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน โจทก์จึงไม่มีภาระที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทนบริษัทแอลเอ็มอีริคสัน จำกัด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2520 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มจากโจทก์ตามแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มที่ต.9/1041/2/00744-49 รวม 6 ฉบับ เรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มจากโจทก์สำหรับระยะเวลาบัญชีตั้งแต่วันที่1 มกราคม 2510 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2512 รวมเป็นเงิน1,640,804.17 บาท โดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อให้แก่บริษัทแอล เอ็ม อีรัคสัน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทต่างประเทศประกอบกิจการในประเทศไทย เป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวได้รับเงินและผลกำไรในประเทศไทย โจทก์ในฐานะตัวแทนจึงมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นและจะต้องคำนวณเงินภาษีในอัตราร้อยละ 2 ของยอดรายรับกับจะต้องเสียภาษีจากการจำหน่ายกำไร โจทก์ไม่เห็นด้วย ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานชอบแล้วจึงให้ยกอุทธรณ์ โจทก์เห็นว่าโจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่ม การประเมินของเจ้าพนักงานจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์มิได้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งในฐานะลูกจ้าง ผู้ทำการแทนหรือผู้ทำการติดต่อแทนบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด อันเป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยแต่อย่างใด บริษัทแอล เอ็ม อีริคสันจำกัด เป็นรัฐวิสาหกิจของประเทศสวีเดนตามความหมายแห่ง”ความตกลงระหว่างประเทศไทยกับประเทศสวีเดนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน” และมิได้มีสถานประกอบการถาวรในราชอาณาจักรไทยโจทก์มิได้กระทำการอย่างใดที่ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด บริษัทแอล.เอ็ม อีริคสันจำกัด จึงต้องเสียภาษีเฉพาะในประเทศสวีเดนเท่านั้น ขอให้พิพากษาเพิกถอนแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มต.9/1041/2/10744-49 รวม 6 ฉบับ และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ 70/2528 ซึ่งสั่งให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้และเงินเพิ่มแก่จำเลย และขอให้งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์เป็นตัวแทนบริษัท แอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด ซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศสวีเดนทำการติดต่อในการจัดซื้อและส่งมอบเครื่องชุมสายโทรศัพท์และอุปกรณ์ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้บริษัท แอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย โจทก์จึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลกับเสียภาษีเงินได้ในจำนวนเงินที่จำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทยให้แก่บริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด และเนื่องจากบริษัทโจทก์เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด ในประเทศไทย จึงไม่อยู่ในข่ายที่จะได้รับยกเว้นภาษีตามความตกลงระหว่างประเทศไทยกับประเทศสวีเดนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนแต่โจทก์มิได้ยื่นรายการและเสียภาษีไว้ เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยจึงได้ประเมินเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มเรียกเก็บจากโจทก์เป็นเงินรวม 1,640,804.17 บาท ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินภาษีดังกล่าวต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินถูกต้องและชอบแล้ว นอกจากนั้นโจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้งดหรือลดเงินเพิ่มต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่มีสิทธิยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้เพิกถอนแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มที่ ต.9/1041/2/00744-49รวม 6 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ 70/2528 ของจำเลย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศสวีเดน และมีสำนักงานสาขาในประเทศไทย ระหว่างปี พ.ศ. 2510 ถึง พ.ศ. 2512บริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศสวีเดน ได้ติดต่อและทำสัญญาขายเครื่องชุมสายโทรศัพท์และอุปกรณ์ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย ล.10 เมื่อวันที่ 24พฤษภาคม 2520 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยได้ประเมินภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินเพิ่มให้โจทก์ชำระเป็นเงิน 1,640,804.17 บาทโดยอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ทำการแทนหรือทำการติดต่อให้แก่บริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด เป็นเหตุให้บริษัทดังกล่าวได้รับเงินได้และผลกำไรในประเทศไทย โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
ปัญหาในชั้นฎีกามีว่า โจทก์เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด หรือไม่ โดยคู่ความยอมรับกันว่าหากโจทก์ไม่เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทดังกล่าว โจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีอากรที่พิพาทกันในคดีนี้ เพราะบริษัทดังกล่าวจะได้รับยกเว้นภาษีอากรตามความตกลงระหว่างประเทศไทยกับประเทศสวีเดนเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนเอกสารหมาย จ.4ทั้งนี้ เนื่องจาก ข้อ 3(1) แห่งความตกลงดังกล่าวระบุว่า กำไรของวิสาหกิจของรัฐบาลคู่ภาคีฝ่ายหนึ่ง ให้เสียภาษีเฉพาะแต่ในอาณาเขตของรัฐบาลคู่ภาคีฝ่ายนั้นเท่านั้น เว้นไว้แต่ว่าวิสาหกิจนั้นกระทำธุรกิจในอาณาเขตของรัฐบาลคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยผ่านทางสถานประกอบการถาวรซึ่งมีอยู่ในอาณาเขตนั้น ฯลฯ บริษัทดังกล่าวเป็นวิสาหกิจของประเทศสวีเดน ซึ่งได้รับความคุ้มครองตามความตกลงดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อ 2(1) (ช)(4) ของความตกลงดังกล่าว กำหนดว่าบุคคลที่กระทำการในอาณาเขตของรัฐบาลคู่ภาคีฝ่ายหนึ่ง เพื่อหรือแทนวิสาหกิจของรัฐบาลคู่ภาคีอีกฝ่ายหนึ่ง ให้ถือว่าเป็นสถานประกอบการถาวรของวิสาหกิจนั้น ในอาณาเขตที่กล่าวถึงทีแรก แต่ต้องมีเงื่อนไขว่า 1. ผู้นั้นมีและใช้อยู่เป็นปกติวิสัยในอาณาเขตที่กล่าวถึงทีแรก ซึ่งอำนาจทั่วไปในการเจรจาและตกลงทำสัญญาต่าง ๆ เพื่อหรือแทนวิสาหกิจนั้น เว้นไว้แต่ว่าการดำเนินงานต่าง ๆ ของบุคคลนั้นจำกัดอยู่แต่เฉพาะเพียงการซื้อสั่งของหรือสินค้าเพื่อวิสาหกิจนั้น ฯลฯ หรือ 3. ผู้นั้นจัดหาคำสั่งซื้อในอาณาเขตที่กล่าวถึงทีแรกอย่างเป็นปกติวิสัยทั้งหมดหรือเกือบหมด เพื่อวิสาหกิจนั้นเอง หรือเพื่อวิสาหกิจและวิสาหกิจอื่นซึ่งวิสาหกิจนั้นควบคุมอยู่หรือมีผลประโยชน์ควบคุมอยู่ โจทก์มีนายมานะ พิทยาภรณ์และนายศิริชัย แสงกร หรือ แสงสร เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าโจทก์ไม่มีอำนาจทั่วไปในการเจรจาและตกลงทำสัญญาต่าง ๆ แทนบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด เป็นปกติวิสัยในประเทศไทยและโจทก์ไม่ได้เป็นตัวแทนผู้ทำการติดต่อเกี่ยวกับการซื้อขายแทนบริษัทดังกล่าว ได้ความจากนายโอ ลอฟ มอแรนเดอร์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของโจทก์ว่า ในการที่บริษัทดังกล่าวทำสัญญาขายอุปกรณ์โทรคมนาคมให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนั้นโจทก์ไม่เคยลงนามในสัญญาหรือต่อรองราคาแทนบริษัทดังกล่าวเลยทั้งโจทก์ไม่มีอำนาจลงนามในสัญญาแทนบริษัทดังกล่าวด้วย ฝ่ายจำเลยมีนายจำรูญ วัชราภัย ผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในขณะนั้นมาเบิกความว่า ในการที่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยซื้ออุปกรณ์เครื่องชุมสายโทรศัพท์จากบริษัทแอล.เอ็ม อีริคสันจำกัดนั้น โจทก์เคยมาติดต่อรับคำสั่งซื้อไป แต่พยานปากนี้ก็เบิกความยอมรับว่า พยานไม่ทราบความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวได้ความจากนายชัยยศ หินทอง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากร พยานจำเลยว่า จากการตรวจสอบพบว่า โจทก์เป็นตัวแทนของบริษัทดังกล่าวเมื่อกองตรวจภาษีอากรมีหนังสือเอกสารหมาย ล.9 ถึงองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับบริษัทดังกล่าวก็ได้รับคำตอบตามเอกสารหมาย ล.4 ในการตอบคำถามค้านของทนายโจทก์นายชัยยศอ้างว่าที่ลงความเห็นว่าโจทก์เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทดังกล่าว ก็เพราะโจทก์มีส่วนร่วมในการร่างสัญญาซื้อขายและการออกของจากท่าเรือตามพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบนั้นยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีอำนาจทั่วไปในการเจรจาและตกลงทำสัญญาต่าง ๆแทนบริษัทแอล เอ็ม อีริคสัน จำกัด เป็นปกติวิสัย หรือโจทก์จัดหาคำสั่งซื้ออย่างเป็นปกติวิสัยทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเพื่อบริษัทดังกล่าว โจทก์จึงไม่เป็นสถานประกอบการถาวรของบริษัทดังกล่าวศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share