คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2477/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยเดินเข้าไปหาโจทก์ร่วมโดยถือมีดไปด้วย แล้วใช้มีดเป็นอาวุธแทงและฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม น่าจะเป็นเพราะจำเลยโกรธที่โจทก์ร่วมพาน้องสาวจำเลย ไปนอนค้างที่อื่น และขอเลื่อนการแต่งงานออกไปจากวันที่ กำหนดไว้เดิมมากกว่าเหตุอื่นการกระทำของจำเลยจึงมิใช่ การกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จำเลยใช้มีดขนาดใหญ่เป็นอาวุธแทงและฟันโจทก์ร่วมโดยอุกอาจเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสเส้นเลือดใหญ่และเส้นเอ็น ที่ข้อมือขวาฉีกขาด หลังเกิดเหตุจำเลยหลบหนีไปถึง 2 ปีเศษ จึงเข้ามอบตัวสู้คดี ไม่มีเหตุรอการลงโทษให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานายวรพงศ์ ทองรุ่ง ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(8) จำคุก 5 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 3 ปีคำให้การชั้นสอบสวนและคำเบิกความของจำเลยในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ก่อนเกิดเหตุโจทก์ร่วมพาน้องสาวจำเลยไปเป็นภรรยาโดยไม่สู่ขอตามประเพณี ในวันเกิดเหตุจำเลยเห็นโจทก์ร่วมยืนอยู่ที่หน้าบ้านนางทิ่ง ทองเอียด จึงเดินเข้าไปหาโจทก์ร่วม และใช้มีดแทงและฟันโจทก์ร่วมบาดเจ็บสาหัส ตามผลการชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ท้ายฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยใช้มีดเป็นอาวุธแทงทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมดูหมิ่นศักดิ์ศรีจำเลยอย่างร้ายแรง และพูดจาเหยียดหยามจำเลยว่าน้องสาวมึงกูเย็ด เสียฟรี ๆ ก็ได้ รีบแต่งรีบไหว้ไปไหนนั้น เห็นว่าจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความเป็นพยานว่าวันเกิดเหตุจำเลยถือมีดยาวประมาณ 8 นิ้ว เดินเข้าไปถามโจทก์ร่วมว่าเมื่อไหร่ โจทก์ร่วมจะแต่งงานกับน้องสาวจำเลย โจทก์ร่วมพูดว่าแต่งเมื่อไหร่ ก็ได้ น้องสาวมึงกูเย็ด เสียฟรี ๆ ก็ได้ รีบแต่งรีบไหว้ ไปไหน จำเลยโมโหจึงพูดกับโจทก์ร่วมว่า หากพูดหมา ๆ แบบนี้อย่าแต่งดีกว่า เมื่อจำเลยพูดจบโจทก์ร่วมกระโดดชกจำเลยก่อนจำเลยจึงใช้มีดที่ถือมาแทงสวนออกไปแล้วกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่เมื่อตรวจดูคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.7แล้วกลับได้ความว่าจำเลยรู้สึกอายชาวบ้านที่น้องสาวจำเลยไปนอนค้างคืนกับโจทก์ร่วม วันเกิดเหตุจำเลยได้ถามโจทก์ร่วมถึงการแต่งงานระหว่างน้องสาวจำเลยกับโจทก์ร่วม แต่โจทก์ร่วมปฏิเสธจึงทะเลาะกัน ในที่สุดโจทก์ร่วมชกจำเลยก่อน จำเลยบันดาลโทสะจึงใช้มีดแทงและฟันโจทก์ร่วม ไม่มีข้อความที่โจทก์ร่วมพูดจาเหยียด ยามจำเลยดังที่จำเลยฎีกา คำให้การชั้นสอบสวนฉบับนี้ได้อ่านให้จำเลยฟังและจำเลยได้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานจึงรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมพูดจาดูหมิ่นเหยียดหยามจำเลยด้วยถ้อยคำดังกล่าว การที่จำเลยเดินเข้าไปหาโจทก์ร่วมโดยถือมีดไปด้วยแล้วใช้มีดเป็นอาวุธแทงและฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมน่าจะเป็นเพราะจำเลยโกรธที่โจทก์ร่วมพาน้องสาวจำเลยไปนอนค้างที่อื่น และขอเลื่อนการแต่งงานออกไปจากเดิมซึ่งกำหนดไว้ในวันที่ 19 สิงหาคม 2537 มากกว่าเหตุอื่น การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่าจำเลยใช้มีดขนาดใหญ่เป็นอาวุธแทงและฟันโจทก์ร่วมโดยอุกอาจเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสเส้นเลือดใหญ่และเส้นเอ็นที่ข้อมือขวาฉีกขาด หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยหลบหนีไปถึง 2 ปีเศษ จึงเข้ามอบตัวสู้คดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share