แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ที่จำเลยทั้งสาม ขายให้โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีสภาพบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายที่มีสภาพบกพร่องให้แก่โจทก์เป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอบังคับให้จำเลยคืนเงิน 70,000 บาท ที่รับไปจากโจทก์และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย จำเลยให้การรับว่า ได้ขายรถยนต์ให้แก่โจทก์และรับเงินจากโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่าจำเลยไม่จำต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ เพราะโจทก์กับจำเลยตกลงเลิกสัญญา ซื้อขายนั้นแล้ว โดยโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์คันใหม่ จากจำเลยและยอมให้ถือเอาเงิน 70,000 บาทนั้น เป็นส่วนหนึ่ง ของค่าเช่าซื้อ และโจทก์ยังเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหาย แก่จำเลย ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์กับคำให้การ และฟ้องแย้งของจำเลยจึงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ซื้อรถยนต์ จากจำเลยแล้วชำระราคาบางส่วนเป็นเงิน 70,000 บาท คงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายต้องรับผิดคืนเงินจำนวน 70,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ หรือโจทก์กับจำเลยตกลงเลิกสัญญาซื้อขายแล้วเปลี่ยนมาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อ โดยโจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันใหม่จากจำเลยและถือเอาเงิน 70,000 บาทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อ แล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิรับเงิน70,000 บาท และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ดังนั้นเมื่อโจทก์กับจำเลยมีข้อพิพาทโดยตรงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเงิน 70,000 บาท คืนจากจำเลยหรือไม่ แม้จะมีข้อเรียกร้องอื่น เกี่ยวกับค่าเสียหายที่ต่างฝ่ายยกขึ้นเป็นข้ออ้างข้อเถียง ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับเงินจำนวน 70,000 บาทนั้นเอง ฉะนั้น คำฟ้องแย้งของจำเลยที่อ้างว่ามีสิทธิริบเงิน 70,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม จึงชอบที่จะรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามขายรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ให้โจทก์ ในราคา 440,000 บาท โจทก์วางมัดจำในวันทำสัญญา 30,000 บาทและชำระให้แก่จำเลยทั้งสามในเวลาต่อมาอีก 40,000 บาท รวมเป็นเงิน70,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 17,700 บาทรวม 36 งวด โจทก์ได้รับมอบรถคันดังกล่าวจากจำเลยทั้งสามแล้วแต่ไม่สามารถใช้การได้เนื่องจากสภาพรถบกพร่องโจทก์ขอคิดค่าเสียหายที่ขาดประโยชน์จากการใช้รถจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 29 วัน ในอัตราวันละ4,000 บาท เป็นเงิน 116,000 บาท รวมกับเงินที่โจทก์ชำระไปแล้ว70,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 186,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 186,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากจำนวนเงิน 70,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงยกเลิกสัญญาซื้อขายนั้นแล้ว เนื่องจากโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อฮีโน่ หมายเลขทะเบียน 81 – 8760 สมุทรปราการจากจำเลยทั้งสามแทน ในราคา 637,000 บาท และยอมให้ถือเอาเงิน70,000 บาท ที่โจทก์ชำระให้จำเลยทั้งสามแล้วเป็นเงินดาวน์ กำหนดให้โจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือเดือนละ 17,700 บาทรวม 36 เดือน นอกจากนี้โจทก์ยังต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่จำเลยอีก 26,790 บาท หลังจากทำสัญญาเช่าซื้อและรับรถไปแล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อและเบี้ยประกันภัยรถยนต์ให้แก่จำเลยทั้งสาม เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ชำระค่าเสียหายจำนวน 380,702 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้มีว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความชำรุดบกพร่องของรถยนต์ที่จำเลยทั้งสามขายให้โจทก์ โดยบรรยายฟ้องว่า รถยนต์คันดังกล่าวมีสภาพบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่า จำเลยทั้งสามส่งมอบรถยนต์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาซื้อขายที่มีสภาพบกพร่องให้แก่โจทก์เป็นการประพฤติผิดสัญญาทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และมีคำขอบังคับให้จำเลยทั้งสามคืนเงิน 70,000 บาท ที่รับไปจากโจทก์และชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วยจำเลยทั้งสามให้การรับว่า ได้ขายรถยนต์ให้แก่โจทก์และรับเงินจำนวน70,000 บาท จากโจทก์จริง แต่ต่อสู้ว่า จำเลยทั้งสามไม่จำต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ เพราะโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงเลิกสัญญาซื้อขายนั้นแล้ว โดยโจทก์เปลี่ยนใจเช่าซื้อรถยนต์คันใหม่จากจำเลยทั้งสาม และยอมให้ถือเอาเงิน 70,000 บาทนั้น เป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อ นอกจากนี้แล้วโจทก์ยังเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามเสียหาย ขอให้บังคับโจทก์ชำระค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์กับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า โจทก์ซื้อรถยนต์จากจำเลยทั้งสามแล้วชำระราคาบางส่วนเป็นเงิน 70,000 บาท คงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายต้องรับผิดคืนเงินจำนวน 70,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือโจทก์กับจำเลยทั้งสามตกลงเลิกสัญญาซื้อขายแล้วเปลี่ยนมาผูกพันกันตามสัญญาเช่าซื้อ โดยโจทก์เช่าซื้อรถยนต์คันใหม่จากจำเลยทั้งสามและถือเอาเงิน 70,000 บาทนั้น เป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่าซื้อแล้วโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิริบเงิน 70,000 บาท และเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ เห็นได้ว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามมีข้อพิพาทโดยตรงว่าโจทก์มีสิทธิเรียกเงิน 70,000 บาท คืนจากจำเลยทั้งสามหรือไม่แม้จะมีข้อเรียกร้องอื่นเกี่ยวกับค่าเสียหายที่ต่างฝ่ายยกขึ้นเป็นข้ออ้างข้อเถียงก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับเงินจำนวน70,000 บาทนั้นเอง ฉะนั้น คำฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสามที่อ้างว่ามีสิทธิริบเงิน 70,000 บาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสาม