คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 251-252/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรไม่อาจอ้างว่าบิดานำสินสมรสของบิดามารดามาทำพินัยกรรมในเมื่อมารดาผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมิได้โต้แย้งคัดค้าน
โจทก์ฟ้องคดีแรกขอให้เพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรมแล้วมาฟ้องคดีหลังขอให้สั่งว่าพินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก แม้ฟ้องคดีหลังจะมีประเด็นขอให้กำจัดมิให้รับมรดกและเรียกค่าเสียหายด้วยก็ตาม เฉพาะประเด็นให้เพิกถอนพินัยกรรมนั้นต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
หากพยานฝ่ายที่นำสืบภายหลังเบิกความแตกต่างกับที่เคยเบิกความไว้ในคดีอาญาและฝ่ายที่นำสืบก่อนเพิ่งทราบเช่นนี้เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลอนุญาตให้ฝ่ายนำสืบก่อนอ้างสำนวนคดีอาญาเป็นพยานได้

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรมของนายโฮกฉบับลงวันที่ 27 พฤศจิกายน 2503

จำเลยให้การว่า พินัยกรรมสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย

สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าพินัยกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมายสั่งกำจัดมิให้จำเลยที่ 1 รับมรดก ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 5,000 บาท

จำเลยให้การว่า นายโฮกทำพินัยกรรมด้วยความสมัครใจ โจทก์ไม่ได้เสียหายเพราะจำเลยที่ 1 มีสิทธิได้รับมรดกตามพินัยกรรม และต่อสู้ว่าฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมเป็นฟ้องซ้ำ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า นายโฮกได้ทำพินัยกรรมในขณะมีสติเป็นปกติดีพยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักจะหักล้างพยานจำเลย

ในประเด็นที่ว่า ทรัพย์ที่ระบุในพินัยกรรมเป็นสินบริคณห์โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องแต่มิได้นำสืบ อย่างไรก็ดี ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์เป็นแต่เพียงบุตรของเจ้ามรดก จะยกขึ้นอ้างหาได้ไม่ ในเมื่อนางกิมภรรยาเจ้ามรดกผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงมิได้โต้แย้งคัดค้านกลับเบิกความเห็นชอบกับการกระทำของนายโฮกเสียอีก ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ส่วนข้อฟ้องซ้ำ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ไว้ตามคดีดำที่ 164/2504 ขอให้ศาลเพิกถอนหรือทำลายพินัยกรรมของนายโฮกคดีอยู่ระหว่างพิจารณา แล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกตามคดีดำที่ 171/2505 ขอให้ศาลสั่งว่าพินัยกรรมของนายโฮกไม่ชอบด้วยกฎหมายอีก แม้ถึงว่าฟ้องโจทก์ในคดีหลังจะมีประเด็นขอให้กำจัดมิให้จำเลยได้มรดก และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายด้วยก็ตาม ฟ้องของโจทก์คดีหลังเฉพาะประเด็นให้เพิกถอนพินัยกรรมก็เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรก ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173

ฎีกาข้อสุดท้าย ศาลฎีกาเห็นว่าเหตุที่จำเลยอ้างสำนวนคดีอาญาของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 717/2504 ภายหลังที่จำเลยสืบพยานเสร็จแล้ว ก็เนื่องจากพยานโจทก์ที่โจทก์นำสืบภายหลังเบิกความแตกต่างกับที่ได้เคยเบิกความไว้ในคดีอาญา จำเลยเพิ่งทราบจึงจำเป็นต้องอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวเป็นพยานเพื่อยันคำพยานที่เบิกความในคดีนี้นับว่าจำเลยมีเหตุอันสมควร ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอ้างสำนวนคดีอาญาดังกล่าวได้เพื่อประโยชน์ความยุติธรรมจึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว

พิพากษายืน

Share