คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2467/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำยึดบ้านซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของผู้ร้องออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าบ้านเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้เดียว มิใช่สินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง แม้ตามคำร้องขอจะมิได้อ้างว่าเป็นบ้านที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับพี่น้องตามที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ก็เป็นการอ้างถึงที่มาเพื่อแสดงให้เห็นว่าบ้านดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธินำยึดนั่นเอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นอ้างในฎีกาได้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในประเด็นตามคำร้อง มิใช่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
บ้านที่โจทก์นำยึดออกขายทอดตลาดซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของผู้ร้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับทายาทอื่นของ ล. สิทธิของผู้ร้องในบ้านจึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) มิใช่สินสมรสที่โจทก์จะมีสิทธินำยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งย่อมใช้สิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนได้ตามมาตรา 1359 จึงมีอำนาจร้องขัดทรัพย์

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จเฉพาะดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 14,375 บาท ตามที่โจทก์ขอ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงขอให้บังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ซึ่งมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมบ้านเลขที่ 41 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินและบ้านที่โจทก์นำยึดมิใช่สินสมรสของจำเลยกับผู้ร้องแต่เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้เดียวผู้ร้องได้มาโดยญาติและบิดามารดายกให้ โจทก์ไม่มีสิทธินำยึด ผู้ร้องกับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินและบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสของจำเลยกับผู้ร้องที่ได้มาระหว่างสมรส มิใช่สินส่วนตัวของผู้ร้อง จำเลยกับผู้ร้องจดทะเบียนหย่าหลังจากโจทก์นำยึดทรัพย์ดังกล่าวแล้วขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยที่ดินและบ้านที่โจทก์นำยึด ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องในส่วนที่เกี่ยวกับบ้านที่โจทก์นำยึด ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้ร้องฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัย “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังยุติได้ว่า ขณะโจทก์นำยึดบ้านเลขที่ 41 ตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.2 ผู้ร้องกับจำเลยยังมิได้จดทะเบียนหย่ากัน บ้านดังกล่าวปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ซึ่งเป็นที่ดินที่นายอุเทนพี่ผู้ร้องจดทะเบียนยกให้แก่ผู้ร้องตามสำเนาหนังสือให้ที่ดินเอกสารหมาย ร.4 และสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร.5 ซึ่งโจทก์นำยึดไว้เช่นเดียวกัน ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาเฉพาะบ้านเลขที่ 41 ซึ่งผู้ร้องฎีกาว่าเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง เพราะเป็นทรัพย์มรดกของนางเล็กที่ตกทอดแก่บุตร คือผู้ร้องและพี่น้องรวมหกคน ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามคำแก้ฎีกาของโจทก์เสียก่อนว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ต้องห้ามหรือไม่ เห็นว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นโดยอ้างว่าบ้านเลขที่ 41 เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องแต่ผู้เดียว มิใช่สินสมรสของจำเลยกับผู้ร้อง แม้ตามคำร้องขอจะมิได้อ้างว่าเป็นบ้านที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับพี่น้องตามที่ผู้ร้องยกขึ้นอ้างมาในฎีกาก็ตาม แต่ก็เป็นการอ้างถึงที่มาเพื่อแสดงให้เห็นว่าบ้านดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธินำยึดนั่นเอง ผู้ร้องจึงมีสิทธิยกขึ้นอ้างในฎีกาได้ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในประเด็นตามคำร้อง หาใช่เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นดังที่โจทก์แก้ฎีกาไม่สำหรับปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องนั้น ผู้ร้องนำสืบว่าเดิมบ้านเลขที่ 41 เป็นของนางเล็ก นางเล็กใช้เป็นที่อยู่อาศัยตลอดจนกระทั่งถึงแก่ความตายเมื่อปี 2540 โดยผู้ร้องมีตัวผู้ร้อง นายอุเทนและนางคนอง จำปา น้องผู้ร้องเป็นพยานเบิกความยืนยัน สอดคล้องกับสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ร.2 ซึ่งปรากฏว่ามีชื่อนางเล็กเป็นเจ้าบ้านและมีการบันทึกการตายของนางเล็กไว้ด้วย นอกจากนี้ยังปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย ร.4 ซึ่งทำขึ้นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2541 ภายหลังที่นางเล็กถึงแก่ความตายไปแล้วว่า นายอุเทนยกที่ดินโฉนดเลขที่ 17014 ให้แก่ผู้ร้อง จึงน่าเชื่อว่าบ้านเลขที่ 41 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินเป็นทรัพย์มรดกของนางเล็กที่ตกทอดแก่บุตรทุกคนซึ่งเป็นทายาทและยังมิได้แบ่งปันกัน แม้นางคนองจะเบิกความว่า นางเล็กยกบ้านเลขที่ 41 ให้แก่ผู้ร้องแต่ผู้เดียว ก็ไม่อาจรับฟังว่าบ้านดังกล่าวมิใช่ทรัพย์มรดก เพราะไม่ปรากฏว่านางเล็กให้บ้านแก่ผู้ร้องโดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะทำให้การให้มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 เมื่อโจทก์มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น พยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำสืบมาจึงรับฟังได้ว่าบ้านเลขที่ 41 เป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องได้มาโดยการรับมรดกร่วมกับทายาทอื่นของนางเล็ก สิทธิของผู้ร้องในบ้านเลขที่ 41 จึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) มิใช่สินสมรสที่โจทก์จะมีสิทธินำยึดได้ และผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมคนหนึ่งย่อมใช้สิทธิครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อเรียกร้องเอาทรัพย์สินคืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์เพราะบ้านเลขที่ 41 ยังไม่ตกเป็นของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปล่อยบ้านที่โจทก์นำยึดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share